เคยสังเกตไหมครับว่า เมื่อไรก็ตามที่เราสนใจสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์ หรือ บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย สินค้าหรือบริการนั้น ๆ ที่เราเพิ่งได้ดูไป ก็มักจะแสดงขึ้นมาบนหน้าจอบ่อยครั้งให้เราได้เห็นกัน สาเหตุเป็นเพราะคุณกำลังพบเจอกับวิธีการทำการตลาดรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า Remarketing ซึ่งถือเป็นวิธีการทำการตลาดที่หลายธุรกิจในปัจจุบันมักจะนิยมเลือกใช้กัน เพราะสามารถนำสินค้าหรือบริการที่ผู้บริโภคกำลังให้ความสนใจ แสดงให้พวกเขาเห็นเพื่อที่จะกระตุ้นการตัดสินใจในการซื้อหรือใช้บริการของพวกเขา
ถึงแม้ว่ากุลยทธ์ Remarketing จะสามารถเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้น แต่ถ้าหากธุรกิจเลือกใช้ไม่ถูกวิธี หรือไม่เหมาะสมกลุ่มเป้าหมาย ก็สามารถส่งผลกระทบต่อธุรกิจทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ธุรกิจได้วางแผนเอาไว้
Remarketing คืออะไร
Remarketing คือรูปแบบการทำการตลาดรูปแบบหนึ่งที่เราจะคอยติดตามการใช้งานของผู้ใช้งานบนเว็บไซต์หรือบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียในขณะที่พวกเขากำลังรับชมหรือพิจารณาสินค้าหรือบริการของธุรกิจเราอยู่
ซึ่งการ Remarketing นั้น จะแสดงรูปภาพหรือโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการนั้น ๆ ที่พวกเขาเพิ่งรับชมไป ให้พวกเขาเห็นในขณะที่พวกเขากำลังใช้งานอยู่ในช่องทางอื่น เพื่อเป็นการย้ำเตือน และกระตุ้นความสนใจของพวกเขา จนทำให้พวกเขากลับมาพิจารณาและตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าหรือใช้บริการธุรกิจของเรา
เพราะปัจจุบันยังมีผู้บริโภคจำนวนมากที่ไม่ได้ตัดสินใจซื้อสินค้าหรือใช้บริการตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น จึงทำให้กลยุทธ์ Remarketing ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่จะสามารถเข้ามาช่วยตอบโจทย์การทำธุรกิจในปัจจุบัน
ถึงแม้หลายธุรกิจในปัจจุบันจะตัดสินใจเลือกใช้กลยุทธ์นี้กัน แต่ก็ยังมีธุรกิจอีกจำนวนไม่น้อยที่กำลังพิจารณาถึงความสำคัญของการเลือกใช้กลยุทธ์นี้ ว่าจะมีประโยชน์ต่อการทำธุรกิจของพวกเขามากน้อยเพียงใด ในหัวข้อต่อไปผู้เขียนจึงอยากอธิบายเกี่ยวกับ…
ความสำคัญและประโยชน์ของการทำ Remarketing
อย่างที่ผู้อ่านทุกท่านทราบกันดีว่าพฤติกรรมการตัดสินใจของผู้บริโภคในปัจจุบันค่อนข้างหลากหลาย และแตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น พฤติกรรมในเรื่องของการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภค ผู้บริโภคบางรายอาจจะไม่ตัดสินใจซื้อสินค้าที่สนใจในทันที เพราะจำเป็นที่จะต้องหาข้อมูลจากหลายเว็บไซต์เพื่อเปรียบเทียบสินค้าอย่างละเอียด แต่ผู้บริโภคบางรายอาจตัดสินใจซื้อสินค้าที่สนใจในทันที โดยไม่จำเป็นที่จะต้องเปรียบเทียบข้อมูลจากเว็บไซต์อื่น ๆ ซึ่งพฤติกรรมของทั้งสองผู้บริโภคที่กล่าวมา มีความแตกต่างของค่อนข้างชัดเจน
ในหัวข้อนี้ ผู้เขียนได้เตรียมผลสำรวจทางสถิติจากบริษัท ISM ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการเกี่ยวกับสิ่งอำนวยความสะดวก โดยผลสำรวจนี้ ช่วยยืนยันเกี่ยวกับความสำคัญและประโยชน์ของการใช้กลุยทธ์ Remarketing ซึ่งผู้อ่านทุกท่านสามารถดูได้จากภาพด้านล่างได้เลยครับ
https://neilpatel.com
จากผลสำรวจจะเห็นได้ว่า มีอัตรามากกว่า 62% ที่ผู้บริโภคจะซื้อสินค้าหรือใช้บริการเมื่อเห็นโฆษณาจากการ Retargeting ในระหว่างที่กำลังหาข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจ
และอีกหนึ่งตัวอย่างที่ผู้เขียนนำมายืนยันให้ผู้อ่านทุกท่านได้ทราบคือ ผลสำรวจจากบริษัท Finances Online ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ให้บริการเกี่ยวกับการตรวจสอบซอฟแวร์ทางการเงิน ซึ่งผลสำรวจสามารถบ่งบอกได้ว่า กว่า 68% ของบริษัท Digital Marketing Agency ใช้งบประมาณส่วนใหญ่ไปกับการทำ Retargeting
จะเห็นได้ว่า การทำ Remarketing เข้ามามีบทบาทในการทำการตลาด เพราะสามารถตอบโจทย์ธุรกิจโดยการทำให้ผู้บริโภคที่มีพฤติกรรมในการตัดสินใจซื้อสินค้าค่อนข้างยาก หันมาซื้อสินค้าของธุรกิจเราในท้ายที่สุด เนื่องจากได้รับการย้ำเตือนและกระตุ้นการตัดสินใจด้วยกลยุทธ์ Remarketing อยู่เป็นระยะ อีกทั้งยังสามารถเก็บตกว่าที่ลูกค้าที่ธุรกิจมีแนวโน้มจะสามารถปิดการขายได้อีกด้วย
เห็นไหมครับว่าการทำ Remarketing มีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจในปัจจุบันเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม การทำ Remarketing ก็ยังมีข้อควรระวังและสิ่งที่ควรคำนึงอยู่เสมอ ซึ่งในบทความนี้ผู้เขียนจะอธิบายถึง 10 เรื่องที่ควรทำและไม่ควรทำเมื่อทำธุรกิจด้วยกลยุทธ์ Remarketing ให้ผู้อ่านทุกท่านทราบด้วยเช่นกัน โดยผู้เขียนจะขอเริ่มต้นที่…\
5 สิ่งที่ควรทำเมื่อใช้กลยุทธ์ Remarketing
1.กำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน
มีธุรกิจจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจว่าการทำ Remarketing เพื่อให้ผู้บริโภคเห็นสินค้าหรือบริการของธุรกิจเราอยู่เป็นประจำถือเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งไม่ถือเป็นการเข้าใจที่ผิด แต่ทั้งนี้การที่ผู้บริโภคได้เห็นสินค้าหรือบริการของธุรกิจเรา แต่ไม่เกิดการกระทำที่นำไปสู่การซื้อสินค้า อาจทำให้ผลลัพธ์ของการทำ Remarketing ไม่มีประสิทธิภาพมากเท่าที่ควร เพราะเหตุนี้ ในการทำ Remarketing แต่ละครั้งธุรกิจควรที่จะกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน เพื่อให้ผลลัพธ์เป็นไปตามเป้าหมายที่ธุรกิจได้วางไว้
หากธุรกิจมีวัตถุประสงค์คือ ต้องการสร้างการรับรู้ ธุรกิจอาจจะใช้กลยุทธ์ Remarketing เพื่อให้พวกเขาเห็นสินค้าหรือบริการอยู่บ่อย ๆ เพื่อให้พวกเขาทราบถึงรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการนั้น ๆ
หรือถ้าหากธุรกิจมีวัตถุประสงค์คือ ต้องการปิดการขาย ธุรกิจอาจจะใช้กลยุทธ์ Remarketing ในการยื่นข้อเสนอพิเศษกับกลุ่มเป้าหมายที่มีความคุ้นเคยกับสินค้าหรือบริการของธุรกิจเราอยู่แล้ว เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของพวกเขา จนนำไปสู่การปิดการขาย
ไม่ว่าวัตถุประสงค์ของการทำ Remarketing ในแต่ละครั้งจะคืออะไร ธุรกิจก็ไม่ควรลืมที่จะ
2.กำหนดกลุ่มเป้าหมายจากการสังเกตพฤติกรรม
การสังเกตพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายที่ผู้เขียนได้กล่าวถึง มีเพียง 2 ประเภทเท่านั้น ได้แก่
1. ผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย
ผู้บริโภคประเภทนี้ จะให้ความสนใจเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของธุรกิจ และมักจะเลือกดูรายละเอียดอื่น ๆ เพิ่มเติมในหน้าต่าง ๆ ของเว็บไซต์
2.ผู้บริโภคที่อยู่ระหว่าง Customer Journey
ผู้บริโภคประเภทนี้ จะไม่มีความสนใจต่อสินค้าหรือบริการของธุรกิจ และมักจะใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีในการรับชมเนื้อหา หรือรายละเอียดภายในเว็บไซต์ และกดออกจากหน้าเว็บไซต์ภายในทันที
ซึ่งคำแนะนำของผู้เขียนคือ หากธุรกิจจำเป็นที่จะต้องใช้กลยุทธ์ Remarketing ควรที่จะกำหนดกลุ่มเป้าหมายไปที่ผู้บริโภคที่มีพฤติกรรมสนใจในสินค้าหรือบริการของธุรกิจ เพราะจะมีโอกาสในการปิดการขาย และตอบโจทย์การใช้กลยุทธ์ Remarketing มากกว่า
หากตัดสินใจมุ่งเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้บริโภคที่มีพฤติกรรมไม่สนใจสินค้าหรือบริการของธุรกิจ อาจทำให้พวกเขาเกิดความไม่พอใจจนกลายเป็นประสบการณ์ที่ดีไม่ดี และส่งผลกระทบต่อธุรกิจได้
นอกเหนือจากการสังเกตพฤติกรรมแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญและควรทำคือเรื่องของการ…
3.กำหนดเวลาที่เหมาะสมสำหรับการทำ Remarketing
หากเราทราบถึงช่วงเวลาที่ผู้ใช้งานส่วนใหญ่เข้าใช้งานบนหน้าเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ธุรกิจก็จะสามารถใช้กลยุทธ์ Remarketing ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะเรารู้แล้วว่าช่วงเวลาใดที่พวกเขาใช้งานมากที่สุด ซึ่งการใช้กลยุทธ์ Remarketing ในช่วงเวลาที่ผู้ใช้งานส่วนใหญ่ใช้งานจะทำให้ผลลัพธ์ในการทำธุรกิจเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพราะมีโอกาสที่จะทำให้กลุ่มเป้าหมายเห็นสินค้าหรือบริการของธุรกิจมากขึ้นกว่าเดิม
ในหัวข้อนี้ ผู้เขียนได้เตรียมผลสำรวจทางสถิติจากบริษัท Sprout Social ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการเกี่ยวกับการจัดการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของธุรกิจ โดยผลสำรวจนี้จะแสดงเกี่ยวกับวันและเวลาที่ผู้ใช้งานส่วนใหญ่บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย Facebook และ Instagram ใช้งาน ซึ่งผู้อ่านทุกท่านสามารถดูได้จากภาพด้านล่างได้เลยครับ
https://sproutsocial.com
หลังจากเราทราบแล้วว่าวัตถุประสงค์ในการทำ Remarketing ของธุรกิจเราคืออะไร พฤติกรรมของกลุ่มผู้บริโภคประเภทใดที่ส่งผลกระทบในทางที่ดีต่อธุรกิจเรามากที่สุด และช่วงเวลาใดที่ผู้ใช้งานส่วนใหญ่ใช้งาน เราจึงนำข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้รวบรวมเอาไว้ มาวิเคราะห์ เพื่อสรุปแนวทางในการใช้กลยุทธ์ Remarketing โดยการ…
4.Retargeting ด้วยข้อมูลลูกค้าที่มีอยู่แล้ว
การทำ Retargeting หรือการกำหนดกลุ่มเป้าหมายใหม่ คือการทำโปรโมตโฆษณาสินค้าหรือบริการของธุรกิจเราไปยังกลุ่มผู้ใช้งานที่เคยมี Engagement กับเว็บไซต์ สินค้า หรือบริการนั้น ๆ ของธุรกิจเรา ถึงแม้พวกเขาจะยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อหรือใช้บริการก็ตาม
สาเหตุที่ผู้เขียนแนะนำวิธีนี้เป็นเพราะ การทำ Retargeting จะมีประสิทธิภาพสูงหากเรามีข้อมูลของผู้ใช้งานเตรียมพร้อมไว้มากพอสมควร ซึ่งวิธีนี้จะสอดคล้องและสามารถนำไปดำเนินธุรกิจได้เป็นอย่างดี เนื่องจากธุรกิจได้รวบรวมข้อมูลของผู้ใช้งานไว้มากเพียงพอแล้วจากการทำ 3 สิ่งที่ผู้เขียนได้แนะนำไปในหัวข้อก่อนหน้านี้ ซึ่งก็คือการกำนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย และการกำหนดเวลาที่เหมาะสมสำหรับการทำ Remarketing
5.เพิ่มความน่าสนใจในการทำ Remarketing ด้วย Call-to-Action
ไม่ว่าธุรกิจจะใช้กลยุทธ์ Remarketing ในรูปแบบการนำเสนอรูปภาพ หรือวิดีโอ สิ่งที่จะช่วยให้การใช้กลยุทธ์ Remarketing มีประสิทธิภาพมากที่สุด และได้ตอบผลตอบรับที่ดีคือ ความน่าสนใจของเนื้อหา
ความน่าสนใจที่ผู้เขียนกำลังกล่าวถึงนี้ไม่ใช่เพียงแค่ข้อเสนอพิเศษ หรือส่วนลดในการซื้อหรือใช้บริการเพียงเท่านั้น แต่ยังมีรายละเอียดอื่น ๆ ที่สามารถช่วยให้การใช้กลยุทธ์ Remarketing ได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งได้แก่
- ชื่อหัวข้อที่ดึงดูดสายตาผู้อ่าน
https://storage.googleapis.com
- เนื้อหาคอนเทนต์ที่น่าสนใจ
- ปุ่ม Call-to-Action ที่สามารถกระตุ้นให้เกิดการคลิก
หากธุรกิจสามารถออกแบบรายละเอียดดังกล่าวที่ผู้เขียนได้กล่าวไปทั้งหมด ให้มีความน่าสนใจมากขึ้นได้ ผู้เขียนรับรองเลยว่าการกลยุทธ์ Remarketing จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สามารถตอบตอบโจทย์ผู้บริโภคและทำให้เกิดผลลัพธ์ในทางที่ดีต่อธุรกิจอย่างแน่นอน
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ผู้อ่านทุกท่านคงจะได้ความรู้เกี่ยวกับการใช้กลยุทธ์ Remarketing มากขึ้นจากเดิมแล้วใช่ไหมครับ นอกจากจะได้รับความรู้ใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์แล้ว ยังสามารถช่วยให้การทำธุรกิจรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย
แต่อย่างไรก็ตามการใช้กลยุทธ์ Remarketing ก็ยังมีสิ่งที่ธุรกิจควรระวังและไม่ควรทำด้วยเช่นกัน ซึ่งจะเป็นอะไรบ้างนั้น ในหัวข้อถัดไปผู้เขียนจะขออธิบายเกี่ยวกับ…
5 สิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อใช้กลยุทธ์ Remarketing
1.ไม่ศึกษากลุ่มเป้าหมายให้ดีพอ
การที่ไม่ศึกษาหรือทำความรู้จักกับกลุ่มเป้าหมายให้ดีพอ ถือเป็นหนึ่งในข้อผิดพลาดที่ทุกธุรกิจไม่ควรทำ เพราะทุกธุรกิจจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตระหนักให้ได้ว่ากลุ่มเป้าหมายคือใคร พวกเขาอยู่ที่ไหน และเวลาใด ไม่อย่างนั้นจะทำให้การใช้กลยุทธ์ Remarketing ไม่เกิดผลลัพธ์ตามเป้าหมายที่ธุรกิจได้ตั้งเป้าไว้ อาจจะเสียทั้งเวลา และงบประมาณในการโปรโมตแคมเปญ
นอกเหนือจากการศึกษาข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มเป้าหมายแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ธุรกิจจำนวนไม่น้อยไม่ได้ระมัดระวังคือ…
2.ไม่กลั่นกรองข้อความที่ใช้ในการสื่อสาร
อีกหนึ่งสิ่งที่มีความสำคัญและควรรู้เป็นอย่างยิ่งหากจะทำธุรกิจโดยใช้กลยุทธ์ Remarketing ซึ่งก็คือการสื่อสารโดยใช้ข้อความที่เหมาะสมกับบริบทของกลุ่มเป้าหมาย โดยข้อความที่ใช้ในการสื่อสารจะต้องไม่ก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของพวกเขา หรือแสดงออกในลักษณะที่รุนแรงมากจนเกินไป ควรเป็นข้อความที่ผ่านการกลั่นกรองมาในระดับหนึ่ง เพื่อไม่ให้ผู้รับสารเกิดประสบการณ์ที่ไม่ดีต่อแบรนด์
ในหัวข้อที่ผ่านมา ผู้เขียนได้กล่าวไว้ว่าการ Remarketing ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่จำเป็นต่อการทำธุรกิจในปัจจุบัน เพราะสามารถช่วยส่งเสริมการทำธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้ข้อควรระวังในการใช้กลยุทธ์นี้คือ…
3.ไม่ควรทำบ่อยจนเกินไป
การใช้กลยุทธ์ Remarketing เพื่อย้ำเตือนหรือกระตุ้นพวกเขาให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่การใช้กลยุทธ์นี้ถี่มากจนเกินไป อาจทำให้พวกเขารู้สึกรำคาญ หรือเกิดประสบการณ์ที่ไม่ดีได้
ธุรกิจควรทำการ Remarketing เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ลูกค้าบางรายอาจจะตัดสินใจซื้อสินค้าหรือใช้บริการไปแล้ว ซึ่งการที่ธุรกิจจะใช้กลยุทธ์ Remarketing กับกลุ่มเป้าหมายในกรณีนี้ อาจไม่ใช่ทางเลือกที่เกิดประโยชน์กับธุรกิจมากสักเท่าไร
และในอีกกรณีหนึ่ง การใช้กลยุทธ์ Remarketing บ่อย ๆ อาจทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดี ทำให้พวกเขารู้สึกว่าถูกรบกวนมากจนเกินไป ซึ่งจะสามารถส่งผลให้ธุรกิจเสียลูกค้าไปโดยไม่รู้ตัว
ผู้เขียนแนะนำว่าหากตัดสินใจใช้กลยุทธ์ Remarketing โดยเจาะจงไปที่กลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ บ้าง อาจเป็นทางเลือกที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างรายได้ได้มากขึ้น เพราะการทำ Remarketing ให้กับธุรกิจ…
4.ไม่ควร Retargeting กับกลุ่มเป้าหมายเดิมซ้ำ ๆ
สาเหตุที่ไม่ควร Retargeting กับกลุ่มเป้าหมายเดิมซ้ำ ๆ เพราะจะเป็นการปิดโอกาสในหากลุ่มลูกค้าใหม่ หรือว่าที่ลูกค้าที่ธุรกิจได้มองข้ามไป ซึ่งการทำผิดพลาดในเรื่องนี้ จะส่งผลให้ธุรกิจพลาดโอกาสในการสร้างยอดขาย หรือรายได้ให้กับธุรกิจ
จริงอยู่ว่าการนำข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายเดิมที่เรามีอยู่แล้วมาใช้ประโยชน์ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าหากธุรกิจไม่พยายามมองหาโอกาสที่จะขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ ก็จะส่งผลเสียต่อธุรกิจเสียมากกว่า เพราะถึงแม้กลุ่มเป้าหมายเดิมของเราจะสนใจสินค้าหรือบริการของเรา แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะกลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการของธุรกิจทุกครั้งที่ได้เห็นโฆษณาอีกครั้ง
การ Retargeting กลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ จึงถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีในการนำมาปรับหรือประยุกต์ใช้ร่วมกับกลยุทธ์ Remarketing
นอกจากเราจะไม่ควร Retargeting กลุ่มเป้าหมายเดิมซ้ำ ๆ แล้ว สิ่งสำคัญอย่างสุดท้ายที่ธุรกิจควรระมัดระวังคือ…
5.ไม่ควรใช้โฆษณาเพียงรูปแบบเดียวในการ Remarketing
นอกจากการ Retargeting กลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ แล้ว การเลือกใช้โฆษณารูปแบบใหม่ ๆ สำหรับการทำกลยุทธ์ Remarketing ก็ถือเป็นสิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะอาจได้ผลลัพธ์ในการทำธุรกิจที่แตกต่างกันออกไป อาจเริ่มต้นจากการทำ A/B Testing ก่อน เพื่อทดสอบว่าโฆษณารูปแบบไหนมีประสิทธิภาพมากกว่า และมีแนวโน้มที่จะสามารถทำให้กลยุทธ์ Remarketing มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสร้างความแปลกใหม่ให้กับกลุ่มเป้าหมายเมื่อพบเห็นโฆษณาอีกด้วย
ภาพจาก https://i0.wp.com
สรุป
หากธุรกิจต้องการเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย การเลือกใช้กลยุทธ์ Remarketing ถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่เป็นประโยชน์สำหรับการทำธุรกิจ แต่ทั้งนี้ควรทำให้ถูกวิธีและหลีกเลี่ยงวิธีต่าง ๆ ที่ไม่ควรทำ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ และได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมายที่ธุรกิจได้วางแผนเอาไว้
นอกจากนี้ หากคุณเป็นหนึ่งในผู้ที่กำลังสนใจทำการตลาดออนไลน์บนช่องทาง Social Media อย่าง Facebook,Instagram,YouTube และ Twitter ทาง STEPS Academy เปิดหลักสูตร Ads Optimization 101 (For Management) เพื่อตอบโจทย์ผู้ที่กำลังทำงานแบบ Work from Home หลักสูตรนี้จะสามารถทำให้ธุรกิจของคุณยกระดับในการทำการตลาดขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
โดยสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:
https://stepstraining.co/ads-optimization-101
สุดท้ายนี้ผู้เขียนคาดหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และสามารถช่วยให้ผู้อ่านทุกท่านนำไปต่อยอดในการทำธุรกิจในอนาคต หรือหากผู้อ่านท่านใดมีความสนใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Digital Marketing สามารถติดตามบทความแนะนำอื่นๆที่เกี่ยวข้องของทาง STEPS Academy ได้ครับ
อ้างอิง
https://www.forbes.com
https://instapage.com