9 สถิติที่ต้องรู้สำหรับการทำการตลาดผ่าน Facebook (Update 2019)

9-stat-facebook2019

เฟสบุ๊ค เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานจำนวนมากจากสถิติโลก Facebook อยู่ในอันดับ 1 จากการสำรวจของ WeAreSocial และ Hootsuite รายงานว่าผู้ใช้เฟสบุ๊คทั่วโลก ณ ปัจจุบัน ในปี 2019 นั้นมีจำนวนผู้ใช้งานถึง 2,271 ล้านบัญชีผู้ใช้งาน

1. 39%ของผู้ใช้เฟสบุ๊คติดตามแฟนเพจเพราะต้องการได้รับข้อเสนอพิเศษ อาทิเช่น โปรโมชั่นลดราคา หรือ สิทธิพิเศษในการซื้อสินค้าก่อนคนอื่น

จากผลสำรวจของเว็บไซต์ Kentico พบว่า 39% ของผู้ใช้เฟสบุ๊คติดตามแฟนเพจเพราะต้องการได้รับข้อเสนอพิเศษ แบรนด์นำเสนอเงื่อนไขสุดพิเศษแลกกับการกระตุ้นกลุ่มเป้าหมายให้กดไลค์แฟนเพจ เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ได้กับทั้งธุรกิจขนาดเล็กและขนาดใหญ่ สร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) ระหว่างแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมาย ตัวอย่างเช่นร้านอาหารชื่อ Brickhouse Tavern ใน Williamsburg รัฐเวอร์จิเนีย ได้โพสต์ง่ายๆ ว่าลุ้นรับพิซซ่าชีสขนาดใหญ่ได้ฟรี !! เพียงแค่กดไลค์และคอมเมนต์โพสต์นี้ และรอลุ้นรับรางวัลกันได้เลย เพียงเท่านี้ก็สามารถสร้างการมีส่วนร่วมให้แก่ผู้พบเห็นโพสต์สามารถเข้ามาร่วมสนุกกันได้

แต่ข้อควรระวังสำหรับกลุ่มคนที่เข้ามามีส่วนร่วมในรูปแบบนี้ อาจจะไม่ได้สนในเนื้อหาที่แบรนด์โพสต์เพราะ กลุ่มคนเหล่านี้ได้เข้ามาเพราะอยากได้ของรางวัล

brickhouse
ภาพจาก : https://www.socialmediatoday.com/news/10-need-to-know-facebook-marketing-stats-for-2019/547488/

2. การเข้าถึงทั่วไปของโพสต์ (การเข้าถึงแบบไม่ซื้อโฆษณา) อยู่ที่ประมาณ 6.4% ของจำนวนผู้ถูกใจทั้งหมดของแฟนเพจ

มีข่าวลือว่าตลาดโลกมีการเข้าถึงโพสต์ทั่วไปด้วยผลสำรวจของ wearesocial นั้นมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2% ของจำนวนผู้ถูกใจทั้งหมดของแฟนเพจ แต่ในความเป็นจริงนั้นค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 6.4% (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของผู้ที่ติดตามแฟนเพจและคุณภาพของคอนเทนต์ด้วยเช่นกัน)

ในกรณีที่แฟนเพจมีจำนวนผู้ที่กดไลค์เป็นจำนวนมากในบางครั้งจะมีผู้ติดตามบางคนมองไม่เห็นในสิ่งที่แบรนด์โพสต์ สิ่งที่แบรนด์สามารถทำได้คือ คุณต้องสร้างโพสต์ที่น่าสนใจ น่าดึงดูด ไม่ว่าจะสื่อสารผ่าน รูปภาพ วิดีโอ หรือ คอนเทนต์แบบบทความยาว ยิ่งคุณเข้าใจเกี่ยวกับวิธีสร้างการมีส่วนร่วมผ่านโพสต์ของคุณมากเท่าไหร่ ผู้ตามของคุณก็จะยิ่งให้ความสนใจในแบรนด์ของคุณมากยิ่งขึ้น

สำหรับ สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดสำหรับ Unliking หรือเลิกติดตามแบรนด์มาจาก การโพสต์ที่ไม่น่าสนใจ (32%) และโพสต์มากเกินไป (28%)

3. 47% ของผู้ใช้เฟสบุ๊ค เข้าใช้บริการผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ

จากผลสำรวจของ venturebeat ได้หมายความว่าเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ใช้เฟสบุ๊คทั้งหมด เห็นโฆษณาของคุณบนโทรศัพท์ นอกจากนี้พวกเขาเข้าใช้เฟสบุ๊คผ่านแอปพลิเคชันได้บ่อยมากขึ้นเพราะว่ามีแอปพลิเคชันที่พร้อมใช้บริการ อยู่ในมือที่สามารถใช้งานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ต้องรอเปิดคอมพิวเตอร์หรือเดสก์ท็อปก็สามารถอัพเดทข่าวสารผ่านโทรศัพท์ได้ตลอดเวลา

เพราะฉะนั้นเนื้อหาคอนเทนต์ของคุณต้องปรับให้สามารถเข้ากับมือถือ ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาที่เหมาะสมกับการแสดงผลบนโทรศัพท์มือถือ การโพสต์ภาพหรือวิดีโอ เป็นแนวตั้ง การจัดเรียงคอนเทนต์หรือโพสต์แบบยาวให้สามารถอ่านได้ง่ายขึ้นผ่านโทรศัพท์มือถือ

4. ความยาวที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับโฆษณาบนเฟสบุ๊คคือ 4 คำ สำหรับหัวข้อ พร้อมคำอธิบายลิงก์ 15 คำ

จากผลสำรวจของ smartinsights ได้พบว่าในขณะที่ผู้ใช้งานมีเวลาและสถานที่ที่เหมาะสมเขาจะเสพเนื้อหาคอนเทนต์แบบยาวแน่นอน แต่การทำโฆษณาบนเฟสบุ๊ค คำที่ใช้ในหัวข้อโฆษณาและคำอธิบายลิงก์หากทั้งสี่คำในชื่อเรื่องรวมทั้งข้อมูลเพิ่มเติมในคำอธิบายลิงก์สามารถดึง FOMO (Fear of missing out – การแจ้งเตือนถึงสิ่งที่กำลังจะพลาดโอกาสสำคัญไป) สามารถช่วยดึงดูดผู้อ่านให้ดียิ่งขึ้น ในส่วนนี้สามารถช่วยให้เปอเซนต์ของ CTR สูงขึ้น

5. 80% ของวิดีโอที่มีเสียงถูกเล่นอัตโนมัติจะก่อความรบกวนแก่ผู้ใช้เฟสบุ๊ค

จากผลสำรวจของ facebook พบว่าคนส่วนใหญ่เล่นเฟสบุ๊คในที่สาธารณะ สถานีรถไฟ ในชั้นเรียนหรือรอเข้าแถวที่ร้านขายของชำ สถานที่เหล่านี้แต่ละแห่งจะมีคนเดินผ่านไปมาอยู่ตลอดเวลา การที่วิดีโอเล่นอัตโนมัติและส่งเสียงดังขึ้นจะส่งผลให้กลายเป็นจุดสนใจในทันที

ด้วยเหตุนี้จึงต้องวิเคราะห์ว่าผู้ชมโฆษณาส่วนใหญ่ของคุณหากต้องเสพวิดีโอคอนเทนต์คุณมีคำบรรยายและภาพที่เกี่ยวข้องเพื่อลดความต้องการเสียงของวิดีโอ

6. วิดีโอที่มีคำบรรยายเพิ่มเวลาในการดูประมาณ 12%

จากผลสำรวจของ facebook พบว่าการใส่ซัพไตเติล หรือการใส่คำบรรยายประกอบวิดีโอนั้นจะทำให้ผู้รับชมสามารถดูวิดีโอได้นานมากขึ้นโดยที่ไม่ต้องเปิดเสียง ด้วยวิธีนี้ผู้ที่ดูวิดีโอผ่านเฟสบุ๊คสามารถดูและเข้าใจวิดีโอได้ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหน

7. โฆษณาวิดีโอของคุณมีเวลา 3 วินาทีในการดึงดูดความสนใจของผู้ดูวิดีโอ

จากผลสำรวจของ facebook พบว่า 3 วินาทีดูเหมือนไม่มีอะไร แต่วิดีโอของคุณมีโอกาสมากมายที่จะอัดหมัดเด็ดหรือสร้างการจดจำในเวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าวิดีโอของคุณใน 3 วินาทีแรกนั้นมีข้อมูลที่คุณต้องการจะสื่อออกไปหรือไม่ แต่ส่วนใหญ่จะมีข้อมูลที่เต็มไปด้วย FOMO (Fear of missing out) สร้างความสงสัยเล็กน้อยหรือความคิดที่ว่าวิดีโอของคุณไม่เปิดเผยทุกสิ่งในทันทีจะทำให้ผู้ชมของคุณมีแรงจูงใจในการรับชมวิดีโอต่อไป

8. การโพสต์ที่สั้นและตรงประเด็นจะได้รับการโต้ตอบเพิ่มขึ้น 23% จากรูปแบบการโพสต์แบบยาว

จากผลสำรวจของ bufferapp พบว่ารูปแบบการโพสต์ที่สั้นและตรงประเด็น ส่งผลดีกับผู้อ่านในระหว่างการเดินทาง ดังนั้นคุณต้องสามารถสร้างความสนใจให้ได้อย่างรวดเร็วและหน้า Landing Page ต้องมีคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์และสร้างการดึงดูดให้อยู่บนหน้าเว็บไซต์ของคุณให้ได้นานที่สุด

9. การโพสต์รูปแบบวิดีโอจะได้รับส่วนความสนใจมากกว่าโพสต์ประเภทอื่น ๆ

จากผลสำรวจของ marismith พบว่านี่เป็นอีกเหตุผลที่ดีที่จะรวมเนื้อหาวิดีโอไว้ในกลยุทธ์การตลาด Facebook จำนวนการแชร์วิดีโอเฉลี่ยคือประมาณ 89.5 ครั้ง

เมื่อดู บริษัท ที่มีกลยุทธ์ทางการตลาดที่ประสบความสำเร็จสถิตินี้จะเพิ่มขึ้นตัวอย่างเช่นวิดีโอนี้โดย Glossier มีจำนวน 15 แชร์ในขณะที่โพสต์แบบรูปภาพอย่างเดียวด้านล่าง (สำหรับผลิตภัณฑ์เดียวกันแน่นอน) มีเพียง 1 แชร์เท่านั้น

glossier2
ภาพจาก : https://www.socialmediatoday.com/news/10-need-to-know-facebook-marketing
-stats-for-2019/547488/
glossier1
ภาพจาก : https://www.socialmediatoday.com/news/10-need-to-know-facebook-marketing
-stats-for-2019/547488/

 

Facebook เสนอโอกาสที่สำคัญสำหรับธุรกิจ แต่ยังเป็นความท้าทายที่สำคัญ หวังว่าสถิติและเคล็ดลับเหล่านี้จะนำคุณไปสู่ทิศทางที่ถูกต้องเพื่อช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นจากการทำการตลาดบน Facebook ของคุณในปี 2562

ที่มา : https://www.socialmediatoday.com/news/10-need-to-know-facebook-marketing-stats-for-2019/547488/

เรียนสอบถาม คอนเทนต์นี้ คุณชอบไหมคะ

ความคิดเห็นของคุณมีความสำคัญกับเรา ขอบคุณนะคะ

Learn More

การเพิ่มประสิทธิภาพให้กับคอนเทนต์บนโลกโซเชียลมีเดียด้วยการทำ Real Time Marketing
5 เทรนด์อัปเดตสำหรับการวางแผนกลยุทธ์การตลาดดิจิทัล