จากสถิติการชอปปิงออนไลน์ ปี 2020 พบว่า ผู้ประกอบการอาจเคยเจอกับเหตุการณ์ที่เรียกว่า Shopping Card Abandonment มากถึง 75% หากจะพูดกันให้เห็นภาพมากกันขึ้น Card Abandonment นั้นหมายความว่า
ในขณะที่ลูกค้ากำลังซื้อสินค้าออนไลน์และหยิบสินค้าใส่ตะกร้าไปบ้างแล้ว แต่เกิดตัดสินใจยกเลิกซื้อสินค้ากลางคัน และหายออกจากหน้าเว็บไซต์หรือหน้าเพจของเรา
คงจะน่าเสียดายไม่ใช่น้อยใช่ไหมคะ หากลูกค้าและยอดขายขาดหายไปในขณะที่อยู่ในขั้นตอนการชำระเงินออนไลน์
อย่างที่เรารู้กันค่ะ ว่าการแข่งขันในธุรกิจออนไลน์มีอยู่สูง หากแบรนด์นำเสนอสินค้าที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน นักการตลาดอาจจะใช้ ราคา มาเป็นข้อเสนอ เพื่อจูงใจให้ลูกค้าตัดสินใจ ผู้บริโภคมีสิทธิตัดสินใจ และใช้เวลาเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง เพื่อเปรียบเทียบราคาสินค้าและคุณภาพ
ภาพจาก: https://www.bigcommerce.com
แล้ววิธีไหนล่ะ ที่เราจะสามารถเรียกลูกค้าให้กลับมาซื้อสินค้าของเราอีกครั้ง และแบรนด์ของเราจะยังคงครองใจลูกค้าได้ในระยะยาว
วันนี้ STEPS Academy จะมาอธิบายให้ทุกท่านเข้าใจถึงความสำคัญของการทำ Remarketing ในเฟสบุค และแนะนำกลยุทธ์ที่สามารถสร้างยอดขายให้เพิ่มขึ้น โดยที่ผู้ประกอบการสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในธุรกิจ รวมไปถึงเทคนิคการสร้างโฆษณา ที่สามารถดึงดูดลูกค้าให้กลับมาซื้อสินค้าและบริการอีกครั้งค่ะ
Remarketing คืออะไร ?
อันดับแรก เราขออธิบายให้ทุกท่านเข้าใจถึงความหมาย ความสำคัญของการใช้กลยุทธ์นี้ รวมไปถึงเหตุผลที่ทำไมธุรกิจของคุณจำเป็นต้องใช้วิธี Remarketing กันค่ะ
ในแวดวงการทำโฆษณาออนไลน์ นักการตลาดจะใช้เทคนิค Retargeting หรือ Remarketing เพื่อกระตุ้นกลุ่มเป้าหมาย และเพิ่มโอกาสในการซื้อสินค้า
โดยปกติแล้ว เมื่อลูกค้าเข้ามาที่หน้าเว็บไซต์ของแบรนด์ หรือหน้าเพจที่คุณมีบนโซเชียลมีเดีย ระบบซอฟต์แวร์จะสร้าง Cookie หรือ Pixel* เพื่อส่งโฆษณาหรือรูปภาพที่ลูกค้าเคยเปิดทิ้งไว้ ไปให้ในรูปแบบแบนเนอร์บนเฟสบุคในภายหลัง
(*Cookie หรือ Web cookie คือไฟล์ขนาดเล็กที่จะอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ หรือระบบสมาร์ทโฟน โดยมีหน้าที่บันทึกข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อเว็บไซต์ ทำให้เจ้าของเว็บสามารถรวบรวมข้อมูลเอาไว้ในบราวเซอร์ เช่น การกรอกข้อมูลเพื่อสมัครสมาชิก การซื้อสินค้าและหยิบใส่ตะกร้าออนไลน์ เมื่อผู้ใช้ปิดหน้าต่างเว็บไปและกลับมาอีกครั้ง ข้อมูลที่เคยกรอกไว้ หรือสินค้าที่เคยหยิบใส่ไว้ในตะกร้าจะยังคงอยู่
ส่วน Pixel นั้นมาจาก Facebook Pixel ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ติดตามกลุ่มเป้าหมาย เพื่อดูพฤติกรรมการใช้งานว่ากลุ่มเป้าหมายสนใจสินค้าหรือบริการใดเป็นพิเศษ ซึ่งการติดตั้ง Pixel จะสามารถช่วยให้ผู้ประกอบการกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดมากขึ้นค่ะ )
ภาพจาก: https://www.digitalmarketer.com
บางครั้งลูกค้าอาจจะเคยเห็นโฆษณาผ่านตาแบบไม่รู้ตัวกันมาบ้าง แต่การที่ลูกค้าได้เห็นสินค้า หรือโปรโมชั่นบ่อยขึ้น ก็มีแนวโน้มที่ลูกค้าจะให้ความสนใจและตัดสินใจซื้ออีกครั้งค่ะ
เทคนิคนี้มักเป็นที่นิยมของธุรกิจแบรนด์ใหญ่ ๆ ในการทำ e-commerce เพื่อให้ลูกค้าเห็นแคมเปญโฆษณาอีกครั้งหลังจากเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ หรือเมื่อลูกค้าค้นหาชื่อแบรนด์ของคุณ
ทำไมเทคนิคการทำ Remarketing ถึงสำคัญต่อธุรกิจออนไลน์ ?
เรามาดูข้อพิสูจน์จากข้อมูลสถิติการชอปปิงสินค้าออนไลน์กันค่ะ
- บริษัทโฆษณาดิจิทัลชื่อดังอย่าง Criteo ได้เปิดเผยว่า 70% ของผู้ที่เห็นโฆษณาจากการทำ Remarketing มีแนวโน้มที่จะกลับมาซื้อสินค้าอีกครั้ง เมื่อเทียบกับบริษัทที่ไม่ได้ใช้เทคนิคนี้
- งานวิจัยจาก comScore และ Value Click Media ใช้กลยุทธ์ทางการตลาดทั้งหมด 6 วิธี เพื่อค้นหากลยุทธ์ที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ซึ่งปรากฏว่าผลลัพทธ์การทำ Remarketing นั้น ทำให้ยอดผลการค้นหาชื่อของแบรนด์เพิ่มขึ้นถึง 1,046 %
- ผลตอบรับในเชิงบวกจากลูกค้าที่สังเกตเห็นแบนเนอร์โฆษณาซ้ำหลายครั้งจะอยู่ที่ 30% โดยเฉลี่ย ในขณะที่ผลตอบรับในแง่ลบจากลูกค้า เมื่อเห็นโฆษณาจากแบรนด์มีแค่ 11% เท่านั้นค่ะ
การทำ Remarketing ในเฟสบุค มีข้อดีอีกอย่างคือ ผู้ประกอบการสามารถตีตลาดไปยังกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดมากถึงมากที่สุด ซึ่งผู้ประกอบการสามารถติดตามกลุ่มเป้าหมายได้ด้วยการใช้โปรแกรมวัดผลที่ชื่อว่า Facebook Pixel เพื่อรวบรวมข้อมูล และติดตามพฤติกรรมการใช้งานของผู้ที่มาเยี่ยมชมหน้าเว็บเพจ ซึ่งข้อมูลที่ Facebook Pixel ดึงออกมาใช้ได้ในธุรกิจนั้น มีประโยชน์ดังนี้ค่ะ:
- ระบบ จะส่งข้อความไปหาลูกค้า หรือผู้ที่เคยเข้ามาเยี่ยมชมหน้าเพจ
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งโฆษณาไปยังกลุ่มลูกค้าที่มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าจากแบรนด์จริงๆ
- สามารถแนะนำสินค้าเพิ่มเติม หรือข้อเสนอพิเศษให้ลูกค้าได้เลือกสรร
- ช่วยเพิ่มยอดขายทั้งแบบ Up-selling และ Cross-selling **
(** Up-Selling คือกลยุทธ์ที่ผู้ขายแนะนำสินค้าหรือบริการที่มีคุณสมบัติ และราคาที่เหนือกว่าสินค้าหรือบริการที่ลูกค้ากำลังเลือก
ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณไปร้านอาหารฟาสต์ฟู๊ดเพื่อสั่งอาหารชุด A เป็นเบอร์เกอร์เนื้อที่มาพร้อมกับเฟรนส์ฟรายและน้ำแก้วเล็ก พนักงานอาจจะเสนอว่า
“อัพไซส์เฟรนส์ฟรายกับน้ำเพิ่มไหมคะ ขนาดจัมโบ้ เพิ่มเงินอีกแค่ 10 บาทค่ะ”
การเสนอสินค้าในขณะที่ลูกค้ากำลังอยู่ในอารมณ์ที่ต้องการซื้อหรืออยากชอปปิง ก็สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีได้ค่ะ
Cross-Selling คือกลยุทธ์ที่ผู้ขายนำเสนอสินค้าหรือบริการที่มีความเกี่ยวข้องกันกับสินค้าหลัก ที่ลูกค้าได้ตัดสินใจเลือกไปแล้ว
เช่นการที่คุณไปธนาคารเพื่อเปิดบัญชี และพนักงานถามว่า
“ต้องการทำบัตรเอทีเอ็มไปด้วยเลยไหมคะ” หรือหลังจากนั้น คุณอาจได้ข้อรับข้อเสนอให้ทำบัตรเครดิตในวงเงินที่น่าพอใจไปด้วยเลยพร้อมๆกัน)
นอกจากนี้ ธุรกิจออนไลน์ควรทำ Remarketing นั่นก็เพราะ…
- ผู้ประกอบการได้อัปเดตโฆษณาสินค้าและบริการล่าสุดให้แก่ลูกค้า
- ผู้ประกอบการได้ลูกค้าที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย
- มีโอกาสที่ลูกค้าจะกลับมาซื้อสินค้าอีกครั้งเมื่อผู้ประกอบการกระตุ้นขายโดยการยิงโฆษณา
สำหรับผู้ประกอบการที่ยังไม่แน่ใจว่า ช่องทางไหนในโลกโซเชียลมีเดียจะเป็นช่องทางที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างธุรกิจ เราขอแนะนำให้คุณได้ลองการทำการตลาดผ่านเฟสบุคในช่วงเริ่มต้นค่ะ
เหตุผลที่เฟสบุคเป็นช่องทางสร้างธุรกิจที่ดีที่สุดนั้น มาจากผลสำรวจจากเว็บไซต์ eMarketer ซึ่งได้รายงานว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนในธุรกิจออนไลน์ (ROI) ที่ประสบความสำเร็จนั้น มาจากการทำธุรกิจผ่านช่องทางดังนี้
- เฟสบุค 95% และช่องทางโซเชียลมีเดียอื่นๆที่รองลงมาคือ
- ทวิตเตอร์ 63.5%
- อินสตาแกรม 40.1%
- สแนปแชท 2.1%
จากผลสำรวจนี้ อาจทำให้คุณมองเห็นแผนการตลาดได้ชัดขึ้นว่าเฟสบุคจะช่องทางการทำโฆษณาที่สามารถเพิ่มยอดขายได้ดีที่สุด
เมื่อผู้ประกอบการแน่ใจแล้วว่า เฟสบุคนี่ล่ะ จะเป็นช่องทางที่ใช่ในการทำ Remarketing เพื่อยิงโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมาย สิ่งที่สำคัญลำดับต่อมาคือ
การสร้างเป้าหมายให้ชัดเจนว่าคุณต้องการอะไรจากการทำ Remarketing ในครั้งนี้
เนื่องจากคุณต้องลงทุนและเสียค่าใช้จ่าย ดังนั้นการสร้างเป้าหมายที่ชัดเจนจะกำหนดทิศทางการวางแผนการตลาด ให้เป็นไปตามขั้นตอน และสามารถลงมือทำตามกลยุทธ์ที่ได้วางไว้ค่ะ
1. เพิ่มโอกาสการสร้างยอดขายโดยการลด Cart Abandonment
ก่อนอื่นเลย เราจะมาอธิบายกันแบบสั้นๆอีกทีนะคะว่า Cart Abandonment คือการที่ลูกค้ายกเลิกการสั่งซื้อสินค้าบนหน้าเว็บไซต์ก่อนชำระเงินและออกจากหน้าเว็บไป ด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม ทำให้ธุรกิจเสีย conversion และรายได้ที่ควรจะได้รับ ซึ่งผู้ประกอบการคงปวดหัวกันไม่ใช่น้อยกับปัญหา Cart Abandonment ใช่ไหมคะ
ผู้ประกอบการอาจสงสัยว่า แล้วอะไรล่ะที่เป็นเหตุผลในการยกเลิกการสั่งสินค้ากลางคัน?
วันนี้เรามีคำตอบให้ค่ะ
ภาพจาก: https://www.emarketer.com
จากภาพด้านบน คือสถิติผลสำรวจเกี่ยวกับเหตุผลที่ลูกค้าตัดสินใจยกเลิกการซื้อของออนไลน์กลางคัน จากสถาบัน Baymard Institute ในปี 2020 ซึ่งเหตุผลหลักจากการยกเลิกการชอปปิงออนไลน์นั้นมาจาก
- ราคาขนส่งแพงเกินไป 50%
- ลูกค้าไม่อยากสมัครสมาชิกออนไลน์ 28%
- ใช้เวลาสมัครหรือชำระเงินนานเกินไป หรือระบบชอปปิงออนไลน์มีความซับซ้อน 21%
นอกจากเหตุผลเหล่านี้ยังมีรายงานจาก Baymard อีกว่า สถิติการซื้อสินค้าที่ถูกยกเลิกแบบกลางคันบนหน้าออนไลน์เพิ่มสูงขึ้น 80 % ในปี 2020
ไม่ว่าเหตุผลของการตัดสินใจยกเลิกการสั่งสินค้าจะเป็นอะไรก็ตาม อย่าเพิ่งกังวลไปค่ะ เพราะยังไม่สายเกินไปที่ผู้ประกอบการจะวางกลยุทธ์ในการทำ Remarketing ผ่านช่องทางเฟสบุค เพื่อให้ลูกค้าได้เห็นสินค้าอีกครั้ง และเป็นการย้ำให้ลูกค้านึกถึงแบรนด์ของเราขึ้นมา ทำให้โอกาสในการขายสินค้ามีเพิ่มสูงขึ้นค่ะ
บางครั้ง การทำ Remarketig ผู้ประกอบการอาจยื่นข้อเสนอพิเศษ ด้วยการสร้าง ***Event Tracking เพื่อใช้ติดตามผู้ที่มาเข้าชมหน้าเว็บไซต์ของเรา เพื่อวิเเคราะห์ว่าผู้ใช้มีความสนใจในสินค้าประเภทไหนบ้าง หรือติดตามดูพฤติกรรมอื่นๆ
(*** Event Tracking คือการนำ code มาติดตั้งในเว็บไซต์ของเราเพื่อเกาะติดพฤติกรรมของลูกค้า เมื่อเข้ามาบนหน้าเว็บไซต์
ตัวอย่างเช่น ลูกค้าที่เข้ามาหน้าเว็บไซต์อาจจะคลิกเข้าไปดูหน้าเฟสบุคเพิ่มเติม การคลิกดูวีดีโอในเว็บไซต์ การคลิกติดตามข่าวสาร (subscribe) เป็นต้น
ดังนั้น ลูกค้าที่เคยชอปปิงออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของเรา แต่ยังไม่ได้ชำระเงินและออกจากหน้าเว็บไซต์ไปเสียก่อน มีโอกาสที่จะเห็นโฆษณาเพื่อย้ำเตือนอีกครั้ง ทำให้ลูกค้าเกิดความลังเลในการตัดสินใจซื้อสินค้า ซึ่งบางครั้ง ผู้ประการอาจมีเทคนิคอื่น ๆ เพื่อโน้มน้าวใจให้ลูกค้าเกิดความรู้สึก อยากชอปปิงมากขึ้น เช่น การลดราคาสินค้าจากเดิมอีก 10% หรือบริการส่งฟรีทั่วประเทศ เมื่อสั่งสินค้าครบ 1,000 บาท เป็นต้น)
ภาพจาก: https://www.digitalmarketer.com
หากอยากเขียน Headline โฆษณาให้น่าสนใจและสร้างสรรค์ลองอ่าน: เขียน Headline บน Facebook Ads อย่างไรให้โดนใจลูกค้า
2. ช่วยให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ได้ด้วยวิธี Remarketing
การทำ Remarketing ไม่ได้เจาะจงเพียงแค่กลุ่มลูกค้าที่ยกเลิกกการซื้อสินค้ากลางคันบนหน้าเว็บไซต์เท่านั้น แต่กลุ่มลูกค้าที่เข้ามาลองดูสินค้าผ่านหน้าเว็บไซต์ แต่ยังไม่ได้เลือกซื้อสินค้าใด ๆ ก็เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักเช่นกัน เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายนี้ มีความสนใจในตัวสินค้า และมีแนวโน้มว่าจะตัดสินใจซื้อสินค้าในอนาคต
หนึ่งในเหตุผลที่ลูกค้ายังไม่ตัดสินใจซื้อ นั่นเป็นเพราะลูกค้าอาจกำลังเปรียบเทียบราคาและคุณภาพระหว่างสินค้าในหน้าเว็บไซต์ของเรา และหน้าเว็บไซต์อื่น ๆ ซึ่งการใช้วิธี Remarketing อาจทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าได้ในที่สุด เนื่องจาก Facebook จะแสดงโฆษณาเกี่ยวกับสินค้าที่ลูกค้าเคยเข้ามาดูที่หน้าเว็บไซต์ เมื่อลูกค้าเห็นโฆษณาซ้ำอีก ก็อาจจะเป็นการตอกย้ำลูกค้าอีกครั้งให้ตัดสินใจซื้อสินค้าจากแบรนด์เราค่ะ
นอกจากนี้ อีกหนึ่งในกลุยทธ์ทางการตลาดที่นิยมใช้คือการทำ Link Retargeting ซึ่งโฆษณาจะถูกยิงไปยังผู้เล่น Facebook ที่เคยคลิกเข้ามาดูสินค้าในช่องทางโซเชียลมีเดียอื่น ๆ หรือลิงก์ URL อื่น ๆ ของเรา
3. ยื่นข้อเสนอพิเศษ เพื่อกระตุ้นการขายสินค้า
ในบางครั้งการยื่นข้อเสนอให้แก่ลูกค้า ภายในระยะเวลาที่จำกัด อาจทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า เราจะพลาดโอกาสนี้ไปไม่ได้ และตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น เช่น
- ลดราคาเครื่องเล่นเกม Nintendo 30% เฉพาะวันนี้เท่านั้น
- การทดลองใช้โปแกรมตัดต่อวิดีโอฟรี 7 วัน เป็นต้น
ภาพจาก: https://www.softwareadvice.com
4. ตามติดพฤติกรรมการบริโภคสินค้า
ผู้ประกอบการสามารถติดตามพฤติกรรมการบริโภคสินค้าได้จากการใช้ Facebook Pixel ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ติดตั้งใน Facebook เมื่อลูกค้าเข้าไปที่หน้าเว็บไซต์เพื่อซื้อสินค้าบางอย่าง หรือ เพียงแค่เปิดหน้าเว็บไซต์นั้นเพื่อเข้าไปดูเล่น ๆ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อ ระบบก็จะทำการติดตามพฤติกรรมของลูกค้าในทันที ซึ่งระบบจะสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ว่า ลูกค้าแต่ละคนนั้น มีความสนใจสินค้าตัวไหนบ้างเป็นพิเศษ หรือกำลังมองหาสินค้าประเภทใดอยู่
ภาพจาก: https://www.bigcommerce.com
ลำดับต่อไป จะเป็นการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย เพื่อส่งข้อความแบบเฉพาะเจาะจงไปยังลูกค้า
เพื่อนำเสนอสินค้าและโปรโมชั่นพิเศษค่ะโดย มุ่งเน้นไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์
เครื่องมือ Custom Audience ใน Facebook ออกแบบมาเพื่อสร้างโฆษณาให้แก่กลุ่มเป้าหมายต่อไปนี้
- ผู้ที่มีความสนใจในตัวสินค้าหรือตัวแบรนด์
- ผู้ที่เคยเข้ามาเยี่ยมชมหน้าเว็บไซต์
- ผู้ที่มีแอปพลิเคชันของแบรนด์ในสมาร์ทโฟน
ลองอ่าน >> วิธีการใช้เครื่องมือ Custom Audience เพื่อหากลุ่มเป้าหมายเพิ่มให้ตรงจุด
จากกลุ่มเป้าหมายที่กล่าวมาข้างต้น จะต้องใช้กลยุทธ์แตกต่างกันออกไปตามโอกาส และความเหมาะสม ซึ่งเราสามารถทำการ Remarketing ได้โดยใช้กลยุทธ์ดังนี้ค่ะ
-
รักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าปัจจุบัน
กลุ่มลูกค้าที่เคยซื้อสินค้าหรือบริการจากแบรนด์ไปแล้ว คือจุดเริ่มต้นที่ดีในการเริ่มทำ Remarketing เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงว่า ลูกค้าอาจจะกลับมาซื้อสินค้าซ้ำอีก
ลูกค้าที่มีเข้ามาซื้อสินค้าซ้ำนั้น มักจะเข้ามาดูสินค้าในเว็บไซต์บ่อยมากถึง 5 ครั้ง ซึ่งพฤติกรรมนี้ ผู้ประกอบการ สามารถยิงโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้ได้ใน Facebook ค่ะ
เรามาดูตัวอย่างจากโฆษณาจาก Airbnb กันค่ะ
Airbnb ใช้วิธีโฆษณาสินค้าที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกไม่ยัดเยียดจนเกินไป และจูงใจให้ลูกค้าคลิก Book Now เพื่อจองห้องด้วยการใช้ภาพที่ให้ความรู้สึกสบาย บรรยากาศชวนให้พักผ่อน โดยวิธีการนำเสนอลูกค้าด้วยการใช้ธีมสบายๆ ไม่เน้นการขายจนเกินไปแบบนี้ เหมาะกับการโฆษณาลูกค้าปัจจุบันที่เคยซื้อสินค้าหรือบริการจากแบรนด์ไปแล้วค่ะ
ภาพจาก: https://www.bigcommerce.com
นอกจากนี้ การยื่นข้อเสนอด้วยการลดราคาพิเศษในช่วงวันหยุด หรือการเขียนคำบรรยายเพื่อเสนอสินค้าดี ๆ เพื่อจูงใจลูกค้า สามารถสร้างโน้มนาวให้ลูกค้า คลิก เพื่อเข้ามาทำการจองได้ค่ะ
-
ตามติดลูกค้าจากการตั้งค่า “ Website Traffic ”
เมื่อผู้ประกอบการเริ่มทำ Ramarketing แล้วส่วนที่สำคัญอีกประการคือ เมนู Website Traffic ซึ่งเมนูนี้จะอยู่ในเมนูตั้งค่า Customer Audience ในระบบ Facebook Pixel
เมนู Website Traffic จะมีหน้าที่คอยติดตามผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ ทั้งกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาดูสินค้าแล้วออกจากหน้าเว็บไซต์ไป และกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาแค่หน้าเว็บไซต์หน้าแรกเพียงอย่างเดียว
ภาพจาก: https://www.bigcommerce.com
จากภาพด้านบน จะแสดงให้เห็นเมนูการสร้าง Audience เมื่อคลิกไปที่เมนู Website Traffic แล้วจะสามารถเลือกได้ว่า คุณต้องการตามติด User หรือ ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมหน้าเว็บไซต์ประเภทใดบ้าง โดยมี 4 ประเภทหลัก ๆ คือ
- Anyone who visits your website (ทุกคนที่เข้ามาที่หน้าเว็บไซต์)
- People who visit specific web pages (คนที่เข้ามาที่หน้าเว็บไซต์บางหน้า)
- People visiting specific web pages but not others (คนที่เข้ามาที่หน้าเว็บไซต์บางหน้า แต่ยังไม่ได้เข้าไปที่หน้าอื่น)
- People who haven’t visited in a certain amount of time (คนที่เคยเข้ามาเยี่ยมชมหน้าเว็บไซต์และไม่ได้เข้ามาอีกในช่วงระยะเวลาหนึ่ง)
ผู้ประกอบการสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้ทั้ง 4 ประเภท โดยเลือกได้จากเมนูด้านล่างสุดที่เรียกว่า
Custom Combination
ข้อดีจากการตั้งค่า Website Traffic คือ สามารถช่วยให้ Click-Through Rate (CTR) หรือ อัตราการคลิกผ่านโฆษณาจากการทำ Remarketing สูงขึ้นถึง 10 เท่า เมื่อเทียบจากโฆษณาทั่วไปค่ะ
-
ใช้ประโยชน์จาก App Activity
การตั้งค่า App Activity ในเมนูการสร้าง Custom Audience สามารถตามติดพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายที่มีแอพพลิเคชั่นของคุณ และใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนระบบ iOS หรือ Android ได้ค่ะ
ภาพจาก: https://www.bigcommerce.com/
จากภาพด้านบน เมื่อคลิกเมนู App Activity แล้ว ระบบจากทำการติดตามลูกค้าที่มีแอปของคุณในสมาร์ทโฟนที่มีระบบปฏิบัติการประเภท iOS และ Android ทันที ซึ่งผู้ประกอบการสามารถตั้งค่าเลือกระยะเวลาในการติดตามเพื่อยิงโฆษณาไปยังลูกค้าได้เช่น ภายในเวลา 7 หรือ 30 วัน
นอกจากนี้ คุณสามารถอ่าน Do & Don’t สิ่งที่คุณควรรู้ก่อนเริ่มทำ Facebook Ad เพื่อนำไอเดียไปปรับใช้กันได้เลยค่ะ
4 เทคนิคในการสร้างยอดขายจากการทำ Remarketing
ใน Facebook
- ทำ Remarketing ที่ตรงกลุ่มเป้าหมายจริงๆ
ภาพจาก: https://www.bigcommerce.com
เรามาดูการตั้งค่าในระบบกันค่ะ เมื่อเราเข้าไปที่เมนู Detailed Targeting เราสามารถเลือกเมนู Interests เพื่อตั้งค่าหากลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจงได้ โดยที่เน้นไปที่ความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย เช่น แบรนด์ของเรามีกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจเกี่ยวกับกีฬาประเภทบาสเก็ตบอลและวอลเล่ย์บอล
ในการตั้งค่า ผู้ประกอบการสามารถเลือกได้ว่า ระบบจะติดตามกลุ่มเป้าหมายที่ชอบกีฬาทั้งสองอย่าง หรือชอบกีฬาประเภทใดประเภทหนึ่งก็ได้
- ตั้งเป้าหมายไปที่คนที่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้าจริงๆ
ผู้ประกอบการสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการจะยิงโฆษณาได้จากการตั้งค่าในเมนู Custom Audience เพื่อค้นหาผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมหน้า Blog Post หรือเข้ามาดูราคาสินค้าของแบรนด์ โดยสามารถเลือกการตั้งค่าในระบบได้ดังนี้
- ติดตามคนที่เข้ามาเยี่ยมชมหน้า Blog Post มากกว่าหนึ่งหน้า
- ติดตามคนที่เข้ามาเยี่ยมชมหน้า Blog Post และหน้าเว็บไซต์หน้าแรกที่คลิกเข้ามา
การทำ Remarketing เพื่อเจาะจงหากลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มสูงว่าจะเป็นลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการแบบนี้ สามารถสร้างยอดขายให้กับแบรนด์ได้ไม่น้อยเลยทีเดียวค่ะ
- ค้นหากลุ่มลูกค้าที่อาจมีความสนใจด้วย Facebook’s Lookalike Audiences
ภาพจาก: https://adespresso.com
การขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น เป็นโอกาสที่ดีที่แบรนด์อาจได้ลูกค้าเพิ่มขึ้น บวกกับยอดขายที่ตามมา ซึ่งวิธีการทำ Lookalike Audience จะเป็นขั้นตอนที่ต่อจากการสร้าง Custom Audience แต่มีความแตกต่างกันตรงที่ กลุ่มเป้าหมายเหล่านี้จะมาจาก ข้อมูลอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น
- กลุ่มคนที่มาจาก Facebook ที่เข้ามาแวะชมหน้าเพจยังไม่เคยซื้อสินค้าหรือบริการ
- กลุ่มคนที่เคยเข้ามาอ่านบทความใน Facebook ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า บทความที่เข้ามาอ่านนั้นมีความน่าสนใจและอาจจะสนใจในแบรนด์ของงคุณอยู่
- ใช้ “เวลา” เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจ
ภาพจาก: https://www.socialmediaexaminer.com
เทคนิคกการทำ Remarketing ให้สำเร็จอีกประการ คือการสร้างข้อความให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกอยากตัดสินใจซื้อ โดยใช้เวลาเป็นตัวเสนอขายเพื่อให้เกิดความรู้สึก เร่งด่วน เช่น
- “พิเศษสำหรับ 5 ท่านแรกเท่านั้นที่สมัครเข้ามา….”
- “โปรดี ๆ วันนี้เท่านั้น”
- “FLASH SALES!”
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับคำแนะนำและเทคนิคต่าง ๆ ในการทำ Marketing บนช่องทาง Facebook
ข้อมูลจาก :
https://www.softwareadvice.com
https://www.emarketer.com
https://baymard.com/lists/cart-abandonment-rate
https://www.bigcommerce.com