Google Ads เป็นเครื่องมือสำหรับการโฆษณาที่สร้างผลลัพธ์ด้านยอดขายให้ธุรกิจต่าง ๆ มามากมาย เพียงแต่ว่านักการตลาดหลาย ๆ ท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าการพัฒนายอดขายนั้นไม่จำเป็นต้องผ่านการทุ่มงบประมาณจำนวนมากเพียงอย่างเดียว
ในทางกลับกัน เราสามารถสร้างยอดขายจากการโฆษณาได้มากขึ้น ด้วยเทคนิคการลดงบประมาณต่าง ๆ เช่นกันนะคะ ซึ่งเทคนิคเหล่านี้จะมีประโยชน์มากต่อ SME หรือธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีงบประมาณจำกัดค่ะ
โดยผลการศึกษาจาก Fleishman-Hillard ซึ่งเป็น PR Agency รายใหญ่ของโลกระบุว่าธุรกิจกว่า 89% จะมี Search Engine อย่าง Google อยู่ใน Buyer Journey ด้วย เพื่อช่วยให้กลุ่มเป้าหมายตัดสินใจซื้อสินค้าบริการได้ง่ายขึ้นผ่านการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ค่ะ
สอดคล้องกับอีกสถิติที่น่าสนใจคือคนกว่า 64.6% นั้นเลือกคลิกดูข้อมูลสินค้าบริการผ่าน Google Ads ด้วย จึงนับได้ว่า Google Ads เป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพมากพอที่จะพาธุรกิจเราไปถึงยอดขายที่ตั้งเป้าไว้ค่ะ
อ่านรายละเอียดหลักสูตร “Ads Optimization for Management 101” เพิ่มเติมได้ที่ 🔗 https://stepstraining.co/ads-optimization-101
1. พัฒนา Quality Score (คะแนนประเมินว่าคุณภาพโฆษณาเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับคู่แข่งรายอื่น)
เป็นธรรมดาที่ทาง Google จะให้โฆษณาที่มีคะแนนคุณภาพสูงกว่าปรากฏอยู่บนอันดับต้น ๆ ของหน้าการค้นหา โดยไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณมากมาย
ในทางกลับกัน ต่อให้ลงทุนกับค่าโฆษณามากแค่ไหน ถ้าคุณภาพโฆษณาของเราไม่ดีก็จะไม่มีทางที่โฆษณาจะปรากฏเป็นอันดับแรก ๆ บนหน้า Google Search เลยค่ะ
พอเข้าใจคร่าว ๆ แล้วลองมาดูกันนะคะว่า Quality Score หรือคะแนนคุณภาพโฆษณาคืออะไร และสำคัญอย่างไรบ้าง
Quality Score คือคะแนนที่ทาง Google ประเมินว่าคุณภาพโฆษณาของเราเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับผู้ลงโฆษณารายอื่น ๆ ซึ่งคะแนนจะอยู่ที่ระดับ 1 – 10 ซึ่งถ้าโฆษณาและหน้า Landing Page ของเราตอบโจทย์ผู้ค้นหามากกว่าคู่แข่ง ค่า Quality Score ก็จะสูงค่ะ
โดย Ad Rank หรืออันดับโฆษณาของเราจะคำนวณได้ง่าย ๆ จาก
- การนำ Quality Score มาคูณกับ งบประมาณสูงสุดที่เราจะใช้ในการ Bid ต่อ 1 คลิก (Maximum Bid)
ตัวอย่างเช่น
- โฆษณาของแบรนด์ A มีค่า Quality Score คือ 5 และมีค่า Maximum Bid อยู่ที่ 15 บาท คำนวณออกมาจะได้ 75 คะแนน
- ในขณะเดียวกัน ถ้าโฆษณาของแบรนด์ B มีค่า Quality Score คือ 8 และมีค่า Maximum Bid อยู่ที่ 10 บาท คำนวณออกมาจะได้ 80 คะแนน
นั่นหมายความว่าโฆษณาของแบรนด์ B จะอยู่ในอันดับที่สูงกว่าโฆษณาของแบรนด์ A ค่ะ และโดยส่วนใหญ่ Quality Score ที่ดีจะอยู่ที่ประมาณ 8-10 คะแนนนะคะ
2. เพิ่มยอด Click-through Rate (เปอร์เซ็นต์ที่ใช้วัดว่าคอนเทนต์น่าคลิกแค่ไหน)
ถ้ายอด Click-through Rate มาก ค่า Quality Score ก็จะมากขึ้นตามไปด้วย ทำให้โฆษณาของเราโดดเด่นกว่าคู่แข่ง แถมยังใช้งบประมาณน้อยกว่า การเพิ่มยอด Click-through Rate ให้กับโฆษณาของเราจึงสำคัญค่ะ
เราเลยจะนำเสนอวิธีง่าย ๆ ในการเพิ่มยอด Click-through Rate ให้ลองนำไปทำตามกันดูนะคะ
- สร้างความแตกต่างให้กับเนื้อหาในโฆษณา ผ่านหลาย ๆ วิธี เช่น การนำเสนอโปรโมชันที่แปลกใหม่ไม่เหมือนกับคู่แข่ง
- ใช้ Call To Action ที่น่าดึงดูดใจ โดยเฉพาะคำที่กระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายอยากตัดสินใจซื้อไวขึ้น เช่น ลด 15% ถึงวันที่…เท่านั้น หรือถ้าสั่งภายในวันที่… แถมฟรี…
- ใช้ Google Ads Extensions ให้เป็นประโยชน์ อย่างนอกจากจะใส่คำโฆษณา เราอาจจะใส่ช่องทางติดต่ออื่น ๆ ไว้เพิ่มเติมด้วย เช่น ที่อยู่ (Location Extension) เบอร์โทร (Call Extension) ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง (Sitelink Extension)
3. พัฒนา Ad Relevance (คะแนนประเมินว่าโฆษณาได้รับการตอบรับดีมากน้อยแค่ไหน)
สำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่า Ad Relevance คืออะไร เราจะมาอธิบายให้ฟังกันนะคะ การที่ระบบให้คะแนนว่าโฆษณาของเราได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายดีหรือไม่ดีอย่างไร โดยอ้างอิงจากตัวชี้วัด 2 อย่างหลัก คือ
- ผลตอบรับทางบวก (Positive Feedback) เช่น การ Like, Comment, Share, Repost
- ผลตอบรับทางลบ (Negative Feedback) เช่น การที่มีคนเลือก “ฉันไม่ต้องการเห็นสิ่งนี้” หรือการที่โฆษณาของเราถูกคนที่เห็นส่วนใหญ่เลื่อนผ่านโดยไม่มีปฏิสัมพันธ์ใด ๆ เลยค่ะ
แต่ทั้งนี้แม้โฆษณาบางตัวจะมี Relevance Score มากก็ไม่ได้หมายความว่าโฆษณาเหล่านั้นจะมีคนคลิกทักไปสอบถามข้อมูลสินค้าบริการเยอะเสมอไป เพราะต้องดูปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วยนะคะ
ทีนี้มาดูตัวอย่างวิธีพัฒนา Relevance Score กันนะคะ
- ปรับการตั้งค่า Target ใหม่ : เช่น ใช้ฟีเจอร์ Geotargeting เพื่อลดขอบเขตการมองเห็นโฆษณาให้อยู่ในพื้นที่ที่มีกลุ่มเป้าหมาย ทำให้เพิ่มโอกาสที่คนส่วนใหญ่จะคลิกเข้ามาอ่านรายละเอียดโฆษณามากขึ้นค่ะ ในทางกลับกัน ถ้าเราไม่ได้ใช้ฟีเจอร์ Geotargeting โฆษณาของเราก็อาจจะถูกยิงไปทั้งกลุ่มคนที่ใช่และไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายแบบปะปนกันไป อาจส่งผลให้ยอดการคลิกโฆษณาขึ้น ๆ ลง ๆ แบบไม่เสถียรค่ะ
- ปรับกลยุทธ์การยิงโฆษณาในช่วงเทศกาลต่าง ๆ : ต่อให้สินค้าหรือบริการของเราไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเทศกาลใด ๆ มากเท่าไรก็ตาม แต่เราสามารถนำเทศกาลเหล่านั้นมาเป็นฐานในการคิดแคมเปญโฆษณาต่าง ๆ ทั้งในเชิงของ Copywrite และการให้โปรโมชันได้นะคะ เพื่อกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกคุ้นเคยใกล้ชิดกับแบรนด์ของเรามากขึ้น ส่งผลให้ยอดการคลิกชมโฆษณาของเรามีโอกาสเพิ่มขึ้นตามไปด้วยนะคะ
- จัดระบบ Ad Group ใหม่ให้โฆษณามีประสิทธิภาพมากขึ้น : โฆษณาของเราจะมีโอกาสเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นถ้าเราสามารถจัดกลุ่ม Ad Group ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉลี่ยแล้วใน 1Ad Group จะมีคีย์เวิร์ดได้สูงสุด 20 คำ แต่ในความเป็นจริงแค่เราใส่คีย์เวิร์ดเพียง 10-15 คำก็เพียงพอแล้ว ตราบใดที่คีย์เวิร์ดเหล่านั้นช่วยส่งเสริมการขายสินค้าและบริการของเราได้จริงค่ะ
อ่านรายละเอียดหลักสูตร “Ads Optimization for Management 101” เพิ่มเติมได้ที่ 🔗 https://stepstraining.co/ads-optimization-101
4. พัฒนา Landing Page สำหรับการโฆษณาเพื่อสร้างประสบการณ์ดี ๆ ให้ลูกค้า
Landing Page หมายถึงหน้าเว็บไซต์ใหม่ ๆ ที่ถูกส่งขึ้นมาเพื่อตอบรับกับจุดประสงค์บางอย่าง เช่น เพื่อนำเสนอโปรโมชัน เพื่อนำเสนอแคมเปญใหม่ ๆ เพื่อนำเสนอหน้าสินค้าบริการใด ๆ เป็นต้นค่ะ
ซึ่งหน้า Landing Page สำคัญเพราะว่าเมื่อลูกค้าคลิกจากโฆษณาเข้ามา พวกเขาย่อมหวังว่าจะได้เจอกับหน้าเนื้อหาที่ต้องการโดยไม่มีอะไรมาทำให้รู้สึกรบกวนการใช้งานค่ะ
ดังนั้น มาดูวิธีพัฒนาหน้า Landing Page เพื่อทำให้เกิดยอดขายกันนะคะ
- ใช้ Landing Page ที่ต่างกันสำหรับแต่ละแคมเปญ : ถ้าใช้ Landing Page เดียวกันทั้งหมด ลูกค้าจะเกิดความสับสน จนอาจจะหมดอารมณ์ที่จะซื้อสินค้าบริการของเรา ในทางกลับกัน ถ้าเราแบ่งหน้า Landing Page ตาม Segment ของลูกค้า หรือตามประเภทสินค้าบริการ อัตราการคลิกดูโฆษณาของเราก็มีโอกาสเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
- ทำให้ Landing Page ดูสะอาดตา เข้าใจง่าย : คือเมื่อคลิกเข้าไปเจอหน้า Landing Page กลุ่มเป้าหมายควรรู้เลยว่าตัวเองต้องคลิกดูเนื้อหาต่าง ๆ ที่อยากรู้ ณ จุดไหน อย่างไร รวมถึงหน้า Landing Page นั้นควรดูเข้าใจง่าย สบายตา และควรมีองค์ประกอบใด ๆ ที่ดูเป็นหนึ่งเดียวกันด้วย ทั้งในแง่ของรูปภาพ กราฟิก และคำบรรยายที่กระตุ้นความอยากซื้อสินค้าบริการ
- ลดขั้นตอนต่าง ๆ ให้การใช้งาน Landing Page ไม่ยุ่งยาก : เช่น ถ้าเรามีแบบฟอร์มบางอย่างให้กลุ่มเป้าหมายกรอก แบบฟอร์มนั้นควรมีแค่คำถามสั้น ๆ ที่จำเป็นเท่านั้น เพราะถ้าเราถามในสิ่งที่ยากหรือยาวเกินไป กลุ่มเป้าหมายจะรู้สึกไม่ค่อยดีกับแบรนด์ของเรา จนอาจจะส่งผลให้พวกเขาไม่อยากซื้อสินค้าหรือบริการตามไปด้วยค่ะ
5.วางกลยุทธ์การใช้คีย์เวิร์ดในการโฆษณาอย่างชาญฉลาด
การทำ Keyword Research อย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการวางกลยุทธ์การซื้อโฆษณาอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะสิ่งที่ต้องทำนอกเหนือจากนั้นคือการกลับมาวัดผลของคีย์เวิร์ดที่เลือกใช้อย่างสม่ำเสมอด้วย เพื่อดูว่าคีย์เวิร์ดไหนควรใช้ต่อไป คีย์เวิร์ดไหนไม่ได้ไปต่อค่ะ
นอกจากนี้ เรายังมีอีก 3 เคล็ดลับมานำเสนอนะคะ
- ใช้ Search Terms Report : เพื่อวิเคราะห์หาคีย์เวิร์ดที่ราคาถูกลง มีการแข่งขันน้อยลง แต่ในขณะเดียวกันก็มีประสิทธิภาพที่จะทำให้เกิดยอดขายได้มากกว่าค่ะ นอกจากนี้ ถ้าวิเคราะห์ดี ๆ เราจะได้ Negative Keywords ที่ไม่ควรนำมาใช้ เพื่อป้องกันการเสียงบประมาณไปกับคนที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการค่ะ
- Bid ด้วยคีย์เวิร์ดของคู่แข่ง : นอกจากจะใส่ใจคิดคีย์เวิร์ดของธุรกิจตัวเองแล้ว เรายังควรวิเคราะห์คีย์เวิร์ดของคู่แข่งด้วย เพราะไม่แน่ว่าทางฝั่งของคู่แข่งอาจจะ Bid โดยใช้คีย์เวิร์ดของเราด้วยก็ได้ ทำให้ต่างฝ่ายต่างแย่งคู่แข่งกันไปมาโดยปริยายค่ะ
- หยุดใช้คีย์เวิร์ดที่มีประสิทธิภาพไม่ดี : แทนที่จะมุ่งแต่การใส่หลาย ๆ คีย์เวิร์ด เราควรกลับมาเช็กด้วยว่ามีคีย์เวิร์ดใดบ้างที่ควรตัดออกไปเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย จะได้นำงบประมาณที่เหลือไปใช้กับคีย์เวิร์ดที่มีศักยภาพในการสร้างยอดขายได้มากกว่าค่ะ
6. วิเคราะห์กลยุทธ์การยิงโฆษณาของคู่แข่งอยู่เสมอ
ข้อสุดท้ายที่เราอยากฝากไว้คือนอกจากจะวางกลยุทธ์การซื้อโฆษณาของตัวเองแล้ว อีกสิ่งที่ขาดไม่ได้คือการวิเคราะห์กลยุทธ์ภาพรวมในการซื้อโฆษณาของคู่แข่งด้วยนะคะ
โดยเราอยากให้ใช้คำถามนี้เสมอว่า “เมื่อเปรียบเทียบโฆษณาตัวเองกับคู่แข่ง โฆษณาของเราสู้พวกเขาได้จริงไหม ถ้าสู้ได้ สู้ได้เพราะอะไร ถ้ายังสู้ไม่ได้อาจเป็นเพราะโฆษณาของเรายังขาดอะไรอยู่บ้าง”
ตัวอย่างเช่น โฆษณาของเรายังสู้คู่แข่งไม่ได้เพราะ
- ทางฝั่งเรายังเขียน Copywrite ได้ไม่ดีพอ
- โปรโมชันยังไม่ดึงดูดใจ
- ยังเลือกใช้คีเวิร์ดในการโปรโมตไม่ถูก
- ไม่รู้เคล็ดลับการพัฒนา Performance ของตัวชี้วัดต่าง ๆ
เรียกง่าย ๆ ว่า ให้เราเปรียบเทียบคุณภาพโฆษณาของเรากับคู่แข่งผ่าน 5 ตัวชี้วัดที่ผ่านมาทั้งหมดค่ะ เราจะได้เห็นภาพรวมอย่างรอบด้านว่าเราควรพัฒนาประสิทธิภาพการซื้อโฆษณาอย่างไรบ้าง ค่ะ
หากคุณเป็นหนึ่งคนที่สนใจและอยากยกระดับการทำโฆษณาออนไลน์ หลักสูตร “Ads Optimization for Management 101” จะทำให้คุณรู้ลึกรู้จริงในด้านการบริหาร และการวางกลยุทธ์โฆษณาออนไลน์บนแพลตฟอร์มยอดนิยม ทั้งฝั่ง Facebook Ads และ Google Ads เพื่อให้ช่องทางออนไลน์ของคุณเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ อ่านรายละเอียดหลักสูตรเพิ่มเติมได้ที่ 🔗 https://stepstraining.co/ads-optimization-101