เทคนิคการดึงผู้ชมเข้าเว็บไซต์แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อเพิ่ม Organic Traffic

เทคนิคการเพิ่ม traffic ให้แก่เว็บไซต์ เพื่อดึงกลุ่มเป้าหมายให้เข้ามากล่ยเป็นลูกค้า

 

คุณคงเคยได้ยินคำว่า “Traffic ของเว็บไซต์”  กันมาบ้างใช่ไหมคะ  สำหรับการทำธุรกิจออนไลน์ Traffic คือ จำนวนคนที่เข้ามายังหน้าเว็บไซต์ของเรา ซึ่งเป้าหมายในการสร้างเว็บไซต์ออนไลน์ ทั้งในรูปแบบธุรกิจ E-Commerce หรือแบบส่วนตัว ก็เพื่อการสร้างการรับรู้แบรนด์ ทำให้สินค้าและบริการเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และการนำเสนอการขาย ด้วยการโปรโมตแคมเปญต่าง ๆ

โดยสามารถ แบ่งประเภทของ Traffic หรือวิธีการที่คนเข้ามาที่หน้าเว็บไซต์ของเราได้จาก

  1. จำนวนคนที่เข้ามายังเว็บไซต์ของเรา
  2. จำนวนหน้าที่คลิก
  3. ระยะเวลาที่เข้ามาอยู่บนหน้าเว็บไซต์

สิ่งที่ได้กล่าวไปข้างต้นนี้ ล้วนแล้วแต่มีผลกับการจัดลำดับการค้นหาของ Search Engine ยิ่งลำดับของเว็บไซต์อยู่สูง และอยู่หน้าแรก แน่นอนว่าย่อมมีผลต่อการขาย และการสร้างการรับรู้ของแบรนด์ ซึ่งนอกจากเว็บไซต์แล้ว ในปัจจุบันนักการตลาดยังมีแพลตฟอร์มที่สามารถนำเสนอแบรนด์ ได้จากแพลตฟอร์มออนไลน์ที่หลากหลาย ที่สามารถดึงกลุ่มเป้าหายให้เข้ามาที่เว็บไซต์ได้เพิ่มขึ้น บางคนอยากลงมือสร้างเว็บไซต์ หรือบางคนต้องการปรับปรุงเว็บไซต์เพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จมากขึ้น แต่คุณอาจมีคำถามเหล่านี้ ก่อนเริ่มต้นทำ เช่น

  • วิธีการเพิ่ม Traffic ให้แก่เว็บไซต์จะต้องทำอย่างไรบ้าง 
  • สำหรับมือใหม่อยากเริ่มทำเว็บไซต์ ควรโฟกัสที่ที่จุดไหนก่อนดี 
  • นักการตลาดที่อยากปรับปรุงเว็บไซต์ ควรปรับใช้กลยุทธ์ไหนให้ได้ผลที่สุด 

สำหรับวันนี้ STEPS Academy จะพาคุณไปเรียนรู้เทคนิคการสร้าง Organic Traffic : วิธีการเพิ่ม Traffic ให้แก่เว็บไซต์แบบธรรมชาติ เพื่อเพิ่มจำนวน Traffic ได้ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ และสามารถดึงกลุ่มเป้าหมายมาได้จากแพลตฟอร์มออนไลน์หลากหลายทิศทาง เพื่อให้เข้ามายังหน้าเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งจะมีเทคนิคอะไรน่าสนใจบ้าง เราไปดูกันเลยค่ะ

 

สิ่งที่คุณควรรู้ ก่อนลงมือสร้าง Traffic ให้แก่เว็บไซต์

 

สิ่งที่คุณควรรู้ ก่อนลงมือสร้าง Traffic ให้แก่เว็บไซต์

ก่อนที่เราจะไปดูกลยุทธ์การสร้าง Traffic ให้แก่เว็บไซต์ สิ่งที่สำคัญสำหรับการทำการตลาด คือความเข้าใจเบื้องต้น เกี่ยวกับสินค้าและบริการของแบรนด์คุณ โดยคุณควรตั้งคำถาม และหาคำตอบให้ได้ก่อนว่า …

  • สินค้าและบริการของเราดีพอหรือไม่ ? 

สินค้าของเรามีจุดแข็งคืออะไร มีคุณภาพที่เหมาะสมกับราคาหรือไม่

  • กลุ่มเป้าหมายมีขนาดใหญ่หรือไม่ ?

เป้าหมายของคุณเป็นกลุ่มคนที่อยู่ในเมืองใดเมืองหนึ่งเพียงอย่างเดียวหรือไม่ คุณมีลูกค้าต่างประเทศด้วยหรือไม่

  • กลุ่มเป้าหมายของเราคือใคร ? 

แบรนด์ควรรู้จักลูกค้าของตนเองให้ดีที่สุด เพื่อทำการตลาดได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย หากยังไม่ทราบว่ากลุ่มเป้าหมายของเราเป็นใคร ให้ทดลองสร้าง Customer Persona หรือ Customer Avatar เพื่อทำการตลาดได้ตอบโจทย์กับลูกค้าได้ดีขึ้น

  • จุดขายหรือความแตกต่างที่แบรนด์มีคืออะไร ?

หากแบรนด์ทราบถึงข้อได้เปรียบที่แบรนด์มี และคู่แข่งไม่มี หรือไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ สิ่งนี้จะเป็นจุดขาย หรือจุดโฆษณาที่ทำให้ลูกค้าจดจำเราได้ดี

  • มีช่องทางการเข้าถึงลูกค้าแบบประหยัดต้นทุนหรือไม่ ?

นอกจากการทำโฆษณาแล้ว ยังมีแพลตฟอร์มออนไลน์อื่น ๆ นอกจากเว็บไซต์หรือไม่ มีการจัด Event หรือการตั้งบูธเพื่อนำเสนอลูกค้าให้เข้าถึงง่ายหรือไม่

การตั้งคำถามเหล่านี้กับแบรนด์ของคุณ มีส่วนช่วยให้คุณรู้จักสินค้าของตัวเองได้ดีขึ้น และรู้จักกลุ่มเป้าหมายในการทำการตลาด รวมไปถึงสิ่งที่ควรพัฒนาทั้งในด้านของคุณภาพสินค้า และกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่แบรนด์ ทั้งนี้ ผู้เขียนจะแบ่งวิธีการทำการตลาด เพื่อสร้าง Traffic แบบออร์แกนิก ให้แก่เว็บไซต์ของคุณ ด้วยการแบ่งออกเป็นสี่ประเภทหลัก ๆ ได้แก่

  1. สร้าง Engagement บนช่องทางโซเชียลมีเดีย
  2. เพิ่ม Reach ด้วย Influencer
  3. สร้างคอนเทนต์ให้ตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมาย
  4. นำเทคนิค SEO มาใช้ให้คนหาเว็บไซต์ของเราเจอ

 

1 สร้าง Engagement บนช่องทางโซเชียลมีเดีย

ในยุคที่สามารถนำ Digital Transformation มาปรับใช้ในการสร้างแบรนด์ และขับเคลื่อนธุรกิจด้วยการใช้เครื่องมือและแพลตฟอร์มออนไลน์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คือสิ่งที่นักการตลาดไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะการสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าบนโลกโซเชียล หรือที่เราเรียกกันว่า Engagement

การสร้าง Engagement ไม่ได้เป็นเพียงแค่ การแชร์ลิงก์ของเว็บไซต์ผ่านเพจบน Facebook หรือ Twitter เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่การสื่อสารไปยังผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์จริง ๆ และกลุ่มเป้าหมายก็ตอบสนอง หรือเกิดการกระทำบางอย่างที่นำไปสู่การเกิด Traffic บนเว็บไซต์ ก็เป็นหนึ่งในช่องทางการทำการตลาดที่คุ้มค่า โดยผู้เขียนมีกลยุทธ์ทางการตลาดในการสื่อสารไปยังลูกค้ามาฝากกัน 4 เทคนิคด้วยกันค่ะ

 

1.1 ใช้ภาพกราฟิกและวิดีโอผ่าน Instagram

ไม่ว่าคุณจะทำการตลาดด้วยแพลตฟอร์มไหนก็ตาม การสร้างความประทับใจเมื่อแรกเห็นเป็นเรื่องสำคัญ หากคุณมีคอนเทนต์ที่หลากหลาย และเต็มไปด้วยประโยชน์ต่อผู้อ่าน แต่กลับไม่มีรูปภาพ หรือการออกแบบที่เป็นจุดดึงดูด ผู้อ่านก็อาจจะไม่ได้หยุดอ่านข้อความที่คุณต้องการนำเสนอ ซึ่งการใช้ Instagram ที่เป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้มากกว่า 80 ล้านคนต่อวัน ในการนำเสนอแบรนด์

ถึงแม้ว่า แบรนด์ของคุณอาจมีคู่แข่งที่มีสินค้าและบริการที่คล้ายกัน แต่การทำการตลาดผ่าน Instagram สามารถสร้าง Engagement ได้มากกว่าแพลตฟอร์มออนไลน์อื่น ๆ 4.21 % (ข้อมูลจาก Instagram)

75% ของผู้ใช้ Instagram โดยเฉลี่ย นิยมเข้ามาคอมเมนต์ภายใต้รูปภาพ และแท็กเพื่อนภายในเวลาแค่ 2

จากภาพด้านบน แสดงให้เห็นว่า 75% ของผู้ใช้ Instagram โดยเฉลี่ย นิยมเข้ามาคอมเมนต์ภายใต้รูปภาพ และแท็กเพื่อนภายในเวลาแค่ 2 วันซึ่งถึงว่า กลยุทธ์การสร้าง Engagement ได้ผลดีในระดับหนึ่ง

เทคนิคการโพสต์ภาพและวิดีโอเพื่อให้แบรนด์ดูน่สนใจและเกิดการคลิก ควรคำนึงถึง …

  • ดีไซน์ และสีของรูปภาพ
  • คุณภาพของรูปถ่าย
  • การเล่าเรื่องของรูปภาพและวิดีโอ
  • การออกแบบกราฟิกที่แตกต่างไปจากเดิม
  • การโพสต์คอนเทนต์รูปภาพ และวิดีโออย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างการนำเสนอสินค้าจาก Marshall ที่เลือกภาพถ่ายจริงมาใช้ โดยมีจุดที่น่าสนใจตรงที่ลำโพงสามารถกันน้ำได้ ซึ่งกลุ่มเป้าหมายไม่ต้องอ่านคุณสมบัติก็สามารถเข้าใจได้

ตัวอย่างการนำเสนอสินค้าจาก Marshall ที่เลือกภาพถ่ายจริงมาใช้ โดยมีจุดที่น่าสนใจตรงที่ลำโพงสามารถกันน้ำได้ ซึ่งกลุ่มเป้าหมายไม่ต้องอ่านคุณสมบัติก็สามารถเข้าใจได้

คลิก: 17 ไอเดียการสร้างวีดีโอคอนเทนต์โดนใจลูกค้า เพื่อค้นหาไอเดียใหม่ ๆ ไปปรับใช้กับคอนเทนต์คุณ

 

1.2 สร้างกลยุทธ์บน Twitter

เมื่อพูดถึง Twitter หลายคนคงคิดถึงแฮชแท็ก และข้อความสั้น ๆ ที่ดังในชั่วข้ามคืน การทำการตลาดผ่าน Twitter จึงเป็นโอกาสที่สำคัญ ที่จะทำให้กลุ่มเป้าหมายเกิดความสนใจ และอยากคลิกเข้ามาที่หน้าเว็บไซต์ได้เป็นอย่างดีค่ะ

ตัวอย่าง Case Study ดี ๆที่ผู้เขียนนำมาฝากในวันนี้คือ การทำการตลาดของ Blackbird Baking Company แบรนด์เบเกอรี่จากแคนาดาที่สร้าง Engagement บน Twitter

แน่นอนว่า หลาย ๆ แบรนด์ที่เพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจออนไลน์ จะต้องเจอความท้าทายของการสร้างยอดผู้ติดตาม ซึ่ง Blackbird Baking Company ไม่ได้เพียงใช้ Twitter เพื่อสร้าง Engagement เท่านั้น แต่ยังใช้ Instagram และ Facebook เพื่ออัปโหลดรูปภาพเบเกอรี่ที่อบใหม่ ๆ หน้าตาน่ารับประทาน และแชร์มายัง Twitter อีกที พร้อมทั้งหา Keyword ที่คนส่วนใหญ่สามารถค้นหาแบรนด์ได้ง่ายจากหน้าโพรไฟล์

การทำการตลาดของ Blackbird Baking
ภาพจาก: https://www.shopify.com

นอกจากนี้ แบรนด์ยังใช้แฮชแท็กเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายค้นเจอโพสต์ของพวกเขา และสามารถนำสินค้าไปพูดต่อ และแชร์ได้ในวงกว้าง เช่น #lifeinToronto, #bread #greatfood

 

1.3 กระตุ้นยอด Engagement ด้วยของรางวัล

การเล่นเกมเพื่อแจกของรางวัล การ Subscribe หรือการลงทะเบียนเพื่อลุ้นรับสิทธิ คือหนึ่งในเทคนิคทางการตลาดที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีเสมอ ซึ่งนอกจากยอด Engagement บนหน้าแพลตฟอร์มออนไลน์จะมีเพิ่มขึ้นแล้ว แบรนด์ยังสามารถเพิ่มยอดผู้ติดตาม และได้ข้อมูลจากลูกค้าจากช่องทางนี้ด้วย ซึ่งสถิติจาก Easypromosapp เผยว่า

  • 94% ของผู้ที่เห็นข้อความมักกดเข้ามาเพื่อลงทะเบียน หรือกดติดตามทันที
  • 62% ของผู้ที่เห็นข้อความนิยมแชร์โปรโมชัน หรือแนะนำเพื่อน เพื่อบอกต่อข้อเสนอดี ๆ
ตัวอย่าง กลุยทธ์การนำเสนอคอนเทนต์ประเภทการแข่งขันเพื่อขอรับสิทธิจาก Green Magazine ที่มีข้อความชัดเจน พร้อม Call to Action เพื่อกดติดตาม

ตัวอย่าง กลุยทธ์การนำเสนอคอนเทนต์ประเภทการแข่งขันเพื่อขอรับสิทธิจาก Green Magazine ที่มีข้อความชัดเจน พร้อม Call to Action เพื่อกดติดตาม

1.4 เขียน Copy Writing ด้วยเทคนิค FOMO และโปรโมชันลดราคา

FOMO คือ จิตวิทยา ที่ทำให้ผู้พบเห็นโฆษณารู้สึกไม่อยากพลาดสิ่งๆนั้น รูปแบบของ FOMO จึงไม่ตายตัว แต่ละธุรกิจสามารถคิดค้นขึ้นมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับแคมเปญโฆษณาของตนเองได้

การเขียน การใช้เทคนิค FOMO ในการเขียน Copy Writing หรือการเขียนแคปชันที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกต้องรีบตัดสินใจ พร้อมกับการลดราคาที่ลูกค้าไม่อาจปฏิเสธ สามารถสร้าง Engagement ให้คนคลิกเข้ามาที่เว็บไซต์ได้ไม่น้อย โดยแบรนด์สามารถใช้คำศัพท์บางคำที่เป็นจิตวิทยาเพื่อกระตุ้นกลุ่มเป้าหมาย  เช่น

  • อย่าพลาดโอกาส!
  • วันนี้เท่านั้น
  • ของมันต้องมี!
  • ด่วนจำนวนจำกัด
  • ลดสุด ๆ 70 % เป็นต้น

 

การเขียน การใช้เทคนิค FOMO ในการเขียน Copy Writing หรือการเขียนแคปชันที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกต้องรีบตัดสินใจ พร้อมกับการลดราคาที่ลูกค้าไม่อาจปฏิเสธ สามารถสร้าง Engagement ให้คนคลิกเข้ามาที่เว็บไซต์ได้ไม่น้อย
ภาพจาก: https://www.shopify.com

 

2 เพิ่ม Reach ด้วย Influencer 

Influencer คือผู้มีอิทธิพลที่สามารถขับเคลื่อนให้แบรนด์สามารถกลายเป็นที่ชื่นชอบในตลาด และสามารถสร้าง Reach ได้ไม่แพ้กับการใช้กลยุทธ์อื่น ๆ ซึ่งผลรายงานจาก Bright Local เผยว่า

88% เชื่อถือรีวิวจากผู้บริโภคด้วยกันเองมากพอ ๆ กันกับการแนะนำจากคนสนิท

ดังนั้นการทำการตลาดด้วยใช้ Influencer หรือผู้ที่มีอิทธิพลบนโลกออนไลน์ จะช่วยให้แบรนด์ของเราเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า จากคำแนะนำของผู้ที่มารีวิวสำหรับวิธีการเพื่ม Reach ผู้เขียนขอแนะนำเป็น 2 เทคนิคหลัก ๆ ได้แก่

 

2.1 ส่งผลิตภัณฑ์ทดลองใช้ให้แก่ Influencer ใน Instagram

นักการตลาดและผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่ รายย่อย ต่างทราบดีว่า Instagram คือช่องทางในการโปรโมตสินค้าที่ได้ผลมากที่สุดในยุคดิจิทัล ทั้งในไทยและต่างประเทศ

โดยรายงานความสำเร็จของธุรกิจต่าง ๆ Yotpo ได้รายงานว่า 30 % ของผู้ใช้แอปมักตัดสินใจซื้อสินค้า เมื่อเห็นโฆษณาบนหน้าฟีดของ Instagram และนอกจากนี้ การทำการตลาดผ่าน Instagram ยังสามารถสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) และสร้าง Organic Traffic ให้คนคลิกเข้ามาที่เว็บไซต์ได้อีกทางหนึ่ง จากการโปรโมตผ่าน Influencer

ตัวอย่าง Influencer ที่ผู้เขียนขอแนะนำในวันนี้คือ Content Creator และ Podcast ที่ชื่อว่า Estee Lalonde ซึ่ง Estee มีผู้ติดตามมากถึง 7 แสนคน

Content Creator และ Podcast ที่ชื่อว่า Estee Lalonde ซึ่ง Estee มีผู้ติดตามมากถึง 7 แสนคน

วิธีการที่ Estee ใช้เพื่อโปรโมตสินค้าต่าง ๆ คือการใส่สินค้ามารีวิว พร้อมอธิบายถึงข้อดีของสินค้า และนำไปใส่ในชีวิตประจำวัน รวมทั้งการให้ข้อมูลของร้านค้า และลิงก์เพื่อให้ผู้ชมสามารถกด เพื่อเข้าไปชอปปิงกันค่ะ

Tips: วิธีการเลือก Influencer ให้เข้ากับแบรนด์ ควรคำนึงถึง 2 ปัจจัยหลัก ๆ คือ

  • ความเหมาะสมระหว่าง Influencer และแบรนด์ 
วิธีการเลือก Influencer ให้เข้ากับแบรนด์ ควรคำนึงถึง ความเหมาะสมระหว่าง Influencer และแบรนด์

เช่น Influencer ท่านนี้มักมีคอนเทนต์ หรือไลฟ์สไตล์ที่เข้ากับแบรนด์หรือไม่ หากแบรนด์ของท่านขายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการดูแลผิว  เราอาจเลือก Influencer ที่มีคอนเทนต์เกี่ยวกับการแต่งหน้า หรือการดูแลผิว ดังตัวอย่าง Instagramจากคุณ บิว วราภรณ์ Influencer ท่านนี้ที่เป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ของเมืองไทย

  • ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง Influencer และผู้ติดตาม

ในที่นี้ Influencer ไม่จำเป็นต้องมียอดผู้ติดตามหลายแสนคน แต่ควรมีการสร้างปฏิสัมพันธ์กับคอมเมนต์ในโพสต์ที่ได้รีวิวไป เพื่อทำให้กลุ่มเป้าหมายเกิดความรู้สึกชอบ และใกล้ชิดมากขึ้น ซึ่งนั่นหมายความว่า Influencer ที่เข้าถึงได้ มีส่วนช่วยให้กลุ่มเป้าหมายตัดสินใจซื้อสินค้า

 

2.2 Blogger ช่วยรีวิว

การทำการตลาดโดยปราศจากพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ อาจทำให้การเติบโตของธุรกิจอาจไปได้ไม่ไกลเท่าที่คุณหวัง ดังนั้นหากแบรนด์ต้องการขยายตลาด เพื่อเพิ่ม Reach ให้ได้มากที่สุดนั้น จำเป็นต้องมีเพื่อนในแง่ของการทำธุรกิจด้วย

สำหรับการทำการตลาดออนไลน์นั้น  Blogger คือตัวช่วยที่จะทำให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จักดียิ่งขึ้น และช่วยเพิ่ม Traffic ได้มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเทคนิคที่ Blogger จะช่วยให้แบรนด์สามารถเพิ่ม Reach ให้เป็นที่รู้จักบนโลกออนไลน์ได้ นั่นก็คือ:

  • Blogger สามารถช่วยรีวิวและโปรโมตสินค้าได้ ด้วยการใส่ Backlink บนหน้าเว็บของพวกเขา เพื่อให้ผู้อ่านคลิกลิงก์มายังหน้าเว็บไซต์ของแบรนด์
  • เหล่า Blogger สามารถนำเสนอคอนเทนต์ได้อย่างมืออาชีพ อีกทั้งยังสามารถร่วมแบ่งปันไอเดีย และเทคนิคดี ๆ ให้กลุ่มเป้าหมาย ซึ่งทำให้กลุ่มเป้าหมายสามารถเชื่อถือได้
  • ยิงปืนครั้งเดียว ได้นกถึงสองตัว : แบรนด์ทำ Affiliate Marketing กับ Blogger เพื่อสร้างยอดขายและยอดคอมมิชชันร่วมกันได้

 

การทำการตลาดโดยปราศจากพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ อาจทำให้การเติบโตของธุรกิจอาจไปได้ไม่ไกลเท่าที่คุณหวัง ดังนั้นหากแบรนด์ต้องการขยายตลาด เพื่อเพิ่ม Reach ให้ได้มากที่สุดนั้น จำเป็นต้องมีเพื่อนในแง่ของการทำธุรกิจด้วย
ภาพจาก: https://widsawa.com

ตัวอย่าง Blogger ท่องเที่ยวจาก WIDSAWA.com ที่มีทั้งรีวิวการท่องเที่ยวของผู้เขียนเอง และการแนะนำที่พักจากสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งคอนเทนต์ที่นำเสนอมีทั้งรูปแบบการเขียน และวิดีโอ

 

3 สร้างสรรค์ Content Marketing ให้ตอบโจทย์กับผู้บริโภค

การสร้างคอนเทนต์ในแง่ของการตลาด ไม่ไช่แค่เพียงการเขียนบทความที่มีประโยชน์ต่อผู้อ่านเท่านั้น แต่การสร้างคอนเทนต์วิดีโอ การทำ Podcast หรือการนำเสนอกราฟิกที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ มีส่วนช่วยให้แบรนด์ขับเคลื่อนไปได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถช่วยเพิ่ม Traffic ให้เว็บไวต์ของคุณได้อย่างคาดไม่ถึง

การทำการตลาดโดยการสร้าง Content ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เหมาะสมกับเทรนด์ และความเปลี่ยนแปลงในยุคสมัยนั้น ๆ มีส่วนช่วยให้คอนเทนต์ของคุณกลายเป็นคอนเทนต์ยอดนิยม และทำให้การจัดลำดับเว็บไซต์มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นด้วย ซึ่งข้อดีจากการที่แบรนด์มีคอนเทนต์ที่น่าสนใจ ตอบโจทย์กับตลาด คือการสร้างการรับรู้แบรนด์อีกทาง ซึ่งเป็นผลดีสำหรับการขายในอนาคตเช่นกันค่ะ ดังนั้นเรามาดู 3 เทคนิคในการทำการตลาด ด้วยการสร้างคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพกันค่ะ

3.1 สร้างคอนเทนต์เพื่อให้ข้อมูลและช่วยแก้ปัญหา

 

การทำคอนเทนต์ที่ให้ประโยชน์แก่ผู้อ่าน นอกจากจะเป็นการให้ประโยชน์แก่กลุ่มลูกค้าแล้ว ยังเป็นการเพิ่มโอกาสให้ Customer Journey เข้ามาทำความรู้จักกับแบรนด์ของเรา ซึ่งการสร้างประสบการณ์ในเชิงบวกจากการรับสารผ่านคอนเทนต์ที่เรานำเสนอ มีแนวโน้มให้พวกเขาเหล่านั้นกลายมาเป็นลูกค้าของเราได้ในอนาคต และแน่นอนว่าการทำคอนเทนต์ที่น่าสนใจมากพอ มีส่วนช่วยให้ Traffic บนหน้าเว็บไซต์มีเพิ่มขึ้นด้วย

สำหรับผู้ประกอบการที่กำลังมองหาแนวทางการเขียนบล็อก แต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร หรือยังไม่มีไอเดีย ลองชมวิดีโอนี้กันค่ะ

 

3.2 สร้าง Podcasts

สำหรับปี 2020 ถือได้ว่า Podcast มาแรงมากทีเดียว เนื่องจากในช่วงเวลาว่าง หรือในขณะที่ทุกท่านกำลังเดินทาง หรือทำกิจกรรมบางอย่าง ท่านสามารถนำ Podcast ในเรื่องที่ตัวเองชอบ หรือหัวข้อที่น่าสนใจมาฟังกันแบบเพลิน ๆ ซึ่งหากแบรนด์ของท่าน สามารถสร้าง Podcast ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการของคุณได้ หรือการเรียนเชิญวิทยากรมาร่วมพูดคุย เกี่ยวกับอุตสาหรรมที่แบรนด์ของคุณทำอยู่ จะสามารถสร้าง Reach ได้เป็นอย่างดี โดย Edison Research กล่าวว่า สถิติการฟัง Podcast ของคนรุ่นใหม่เติบโตถึง 175% ในช่วยง 5 ปีที่ผ่านมา หรือมียอดผู้ฟังราว ๆ 90 ล้านคนในแต่ละเดือน

สำหรับ STEPS Academy ก็มี Podcast หัวข้อเกี่ยวกับการทำการตลาดดิจิทัลมาให้ฟังเช่นเดียวกัน ซึ่งนอกจากจะเป็นการให้ความรู้และสาระดี ๆ  แล้ว ยังเป็นการสร้าแรงบันดาลใจให้กับผู้ฟังด้วยค่ะ

 

3.3 สร้าง Traffic ด้วยคอนเทนต์วิดีโอ

ณ ขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นแพล็ตฟอร์มจากโซเชียลมีเดียช่องทางไหน ต่างก็มีวิดีโอที่ให้ทั้งความบันเทิง และความรู้ แต่ยังคงแฝงไปด้วยโฆษณาทางการตลาด เช่น Facebook, Twitter, TikTok และ Instagram เป็นต้น หากแบรนด์ของคุณตั้งใจวางแผนสร้างวิดีโอเพื่อเพิ่ม Traffic ให้เว็บไซต์ ก็สามารถทำได้จากช่องทางที่หลากหลาย (โดยสามารถใช้ได้มากกว่า 1 ช่องทาง) โดยควรคำนึงจาก

  • คอนเทนต์ที่ให้ความรู้ 

การสอนฮาวทู หรือการแนะนำเทคนิคที่ผู้ชมในไปต่อยอดได้ ซึ่งคอนเทนต์เหล่านี้จะเน้นที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ

  • การเล่าเรื่องผ่านวิดีโอ

สร้างประสบการณ์ให้แก่กลุ่มเป้าหมายและสร้างแรงบันดาลใจบางอย่าง เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกประทับใจแบรนด์

  • คอนเทนต์เน้นความบันเทิง

โดยทั่วไปแล้ว การสร้างคอนเทนต์ที่เน้นปริมาณมักเป็นคอนเทนต์ที่ให้ความบันเทิง สนุกสนาน หรือคอนเทนต์ที่สร้างเสียงหัวเราะ ดังนั้น นักการตลาดสามารถสร้างคอนเทนต์ประเภทนี้ให้มีความหลากหลายได้ แต่ยังคงเกี่ยวข้องแบรนด์ ซึ่งจะสามารถสร้างการรับรู้แบรนด์ได้ เพราะผู้ชมเกิดภาพจำในคอนเทนต์เหล่านั้นแล้ว

 

สรุป:

วิธีการเพิ่ม Organic Traffic ให้แก่เว็บไซต์อย่างยั่งยืนและต่อเนื่อง แบรนด์ควรนำกลยุทธ์ที่หลากหลายมาปรับใช้ และเลือกให้เหมาะสมกับธุรกิจของท่าน โดยผู้เขียนแบ่งออกเป็น 3 เทคนิคหลัก ๆ คือ

  1. การสร้าง Engagement
  2. การสร้าง Reach
  3. การสร้าง Content Marketing

 

ข้อมูลจาก

sproutsocial.com

 

เรียนสอบถาม คอนเทนต์นี้ คุณชอบไหมคะ

ความคิดเห็นของคุณมีความสำคัญกับเรา ขอบคุณนะคะ

Learn More

On-Page และ Off-Page SEO คืออะไร 
สร้างยอดไลก์ & กระตุ้นยอดขาย ด้วยกลยุทธ์ Key Opinion Leader (KOL)