“SEO” มาจากคำว่า Search Engine Optimization คือการทำให้เว็บไซต์อยู่ในอันดับต้น ๆ ของการค้นหาบน Google ด้วยเทคนิคต่าง ๆ ซึ่งหนึ่งในเทคนิคเหล่านั้นคือการทำคอนเทนต์ให้มีคุณภาพ
“Content” คือเนื้อหาต่าง ๆ ที่อยู่บนเว็บไซต์ เป็นทั้งในรูปแบบตัวอักษร ภาพ และวิดีโอ
SEO Content คือการสร้างบทความที่มีคุณภาพ ที่สามารถโปรโมตสินค้า และ บริการได้ และ สร้างคุณค่าต่อกลุ่มเป้าหมายตามแผนการตลาด
เช่น
- การรับรู้แบรนด์
- การเพิ่มยอด Conversion
- การเพิ่มยอดขายในแต่ละไตรมาส
ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Keyword เพื่อทำเนื้อหาในรูปแบบ Longform หรือการเขียน Copywriting การวางแผนทำ SEO Content Marketing มีส่วนช่วยให้แบรนด์ของเรากลายเป็นที่รู้จักได้ ด้วยการมอบคุณค่าจากบทความที่เราเขียนให้กับผู้อ่าน และ การผลิตเนื้อหาที่เป็นประโยชน์แต่แคมเปญการตลาด
โดยนักการตลาด สามารถใช้เครื่องมือที่ช่วยในการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ บน Google เพื่อเป็นตัวกำหนดว่า เว็บไซต์จะได้รับการจัดอันดับในหน้าผลการค้นหาหรือไม่ นอกจากนี้ การมีการออกแบบหน้าเว็บไซต์ User Interface (UI) ที่ดีจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับการค้นหาบน Google ได้อีกด้วย
ซึ่ง สิ่งสำคัญที่นักการตลาดควรให้ความสำคัญก่อนเริ่มต้นทำ SEO Content จะมีอยู่ 4 อย่างได้แก่
- ค้นหา Keyword ที่เหมาะสม
การเลือก Keyword ที่ใช่มาใช้ในการเขียนคอนเทนต์ และตอบโจทย์กับแบรนด์ จะช่วยให้ผู้อ่านคลิกมายังหน้าเว็บไซต์เราได้ง่ายขึ้น และเรายังสามารถจับทิศทางในการเขียนคอนเทนต์ในภาพรวมก่อนที่จะลงมือเขียนได้อีกด้วย ซึ่งเครื่องมือที่นิยมใช้ในการหา Keyword สำคัญที่ติดเทรนด์ในช่วงเวลานั้น ๆ หรืออาจจะเป็น Keyword เฉพาะกลุ่มตลาด (Keyword Niche) เราสามารถใช้…
- นำ Keyword มาปรับใช้
เมื่อเราทราบแล้วว่า เครื่องมือดี ๆ ที่สามารถนำมาใช้ในการค้นหา มีอะไรบ้าง จากนั้น ให้เราเลือก Keyword ที่ต้องการเขียนออกมา ซึ่ง Keyword ที่ดี จะมี Search Volume หรือยอดการค้นหาจำนวนสูง แต่หาก Search Volume ต่ำ เราก็ควรเลี่ยงที่จะใช้คำนั้น ๆ เพราะนั่นหมายความว่า ค้นที่ค้นหาข้อมูลต่าง ๆ บน Google อาจไม่ใช้คำเหล่านั้นค้นหา
- เรียบเรียงคอนเทนต์
การสร้างคอนเทนต์ที่ดีบนเว็บไซต์ ควรรู้จักวิธีการเรียบเรียงให้เข้าใจง่าย อ่านแล้วสบายตา สามารถนำคำแนะนำหรือเนื้อหาไปใช้งานได้จริง และเกิดการบอกต่อ ซึ่งการเรียบเรียงคอนเทนต์ตรงนี้ อาจไม่มีผลกับการทำ SEO แต่จะมีผลกับตัวผู้อ่าน เพื่อให้ผู้อ่านอยู่ในบทความของเรานานขึ้น และกลับเข้ามาอ่านบทความดี ๆ อยู่เสมอค่ะ
- นำเสนอคอนเทนต์มากกว่า 1 ช่องทาง
ประเภทของ SEO Content
1 เป็นเนื้อหาที่ให้ความรู้ [Articles]
ให้ความรู้แก่ผู้อ่าน บทสัมภาษณ์ อัปเดตข่าว และ เหตุการณ์ต่าง ๆ รวมทั้งบทสัมภาษณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน
2 คอนเทนต์ที่แยกประเภทเป็นหัวข้อ [List]
มีการเล่าเรื่องจัดเรียงลำดับ และแบ่งหัวข้อชัดเจน สามารถจับประเด็นได้อย่างครอบคลุมว่า บทความนี้ต้องการพูดถึงอะไรบ้าง ซึ่งตัวอย่างการเขียนหัวข้อคอนเทนต์ที่เป็นลิสต์จะมีลักษณะการเขียนดังนี้
- 5 วิธีการจัดการความเครียด
- 10 ธุรกิจ Startup ที่มาแรงในปี 2021
- 7 วิธีการรับมือทางการตลาดเมื่อเกิดวิกฤติการณ์การแพร่ระบาดของโรค Covid-19
3 คอนเทนต์ประเภทลองทำตามแนะนำ [Guides]
คอนเทนต์แบบฮาวทู ให้คำแนะนำจากประสบการณ์เพื่อลองทำตามแบบเป็นขั้นตอน
ตัวอย่างคอนเทนต์ที่เป็นคำแนะนำ
4 วิดีโอ [Videos]
รูปแบบวิดีโอ ภาพเคลื่อนไหว
ตัวอย่างคอนเทนต์จาก Brian Dean ในรูปแบบวิดีโอ
5 อินโฟกราฟิกส์ [Infographic]
การนำเนื้อหามาสรุปเพื่ออธิบายข้อมูลต่างๆ ผ่านภาพกราฟิก เรียกง่าย ๆ ว่า การย่อยบทความที่มีเนื้อหายาว ๆ มาสรุปไว้ในรูปแบบรูปภาพ (Data Visualization) เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพแล้วเข้าใจง่ายขึ้น
6 แสดงเนื้อหาแบบสไลด์โชว์ [Slideshows]
นำเสนอเนื้อหา และกราฟิกในรูปแบบของสไลด์โชว์ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Carousel Content
7 อภิธานศัพท์ [Glossaries]
รวบรวมศัพท์เทคนิค หรือ ศัพท์เฉพาะเอาไว้ในคอนเทนต์นั้น ๆ
เช่น คำศัพท์เฉพาะด้านการตลาด
คอนเทนต์ที่เป็นศัพท์เฉพาะทางการแพทย์ เป็นต้น
8 Directories
ช่องทางที่ให้รายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า และ บริการบนเว็บไซต์ หรือแพล็ตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และช่องทางการติดต่อบนหน้า Search Engine
เมื่อเรารู้แล้วว่าประเภทคอนเทนต์เป็นแบบไหนบ้าง และมีสิ่งไหนที่ควรให้ความสำคัญในการทำ SEO Content จากนี้เราไปดูวิธีพัฒนากลยุทธ์ SEO Content กันค่ะ ว่านักการตลาดควรวางแผนอย่างไร ให้การทำ SEO ของเราได้ผล
1. กำหนดเป้าหมาย
ไม่ว่าเว็บไซต์ที่เราทำ SEO เป็นเว็บไซต์ทั่วไป หรือเว็บไซต์สำหรับธุรกิจ ถ้าต้องการเพิ่มยอดขาย และต้องการเพิ่ม Traffic ให้คนเข้ามายังหน้าเว็บไซต์ การกำหนดเป้าหมายจะเป็นตัวช่วยในการสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์กับการทำ SEO ว่าควรเน้นเนื้อหาประเภทใด
2. รู้จักกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์
ผลการสำรวจ แล ะการวิเคราะห์สามารถนำมาใช้การพิจารณาว่า ผู้เข้าชมกำลังมองหาเนื้อหาประเภทใดและช่วยให้เราสามารถมองเห็นภาพได้ดีขึ้น โดยการพิจารณาจากการพัฒนา และ แนวโน้มของผู้เข้าชม
ตัวอย่างเช่น หากทำเว็บไซต์ B2B ที่มี C-level เป็นกลุ่มเป้าหมาย (ผู้บริหารระดับสูง) ซึ่งอาจจำเป็นต้องแจก ไฟล์เป็นเอกสาร ที่สามารถดาวน์โหลด และ บันทึกเพื่ออ่านในภายหลังได้
หากมีกลุ่มเป้าหมายเป็นวัยรุ่น ก็ควรมีรูปภาพ และ วิดีโอมากขึ้น อีกทั้งการสร้างเนื้อหาที่กระชับ และ เน้นไปที่การอัปเดตบ่อยๆ จะเพิ่มโอกาสให้ Google พิจารณาบทความของคุณให้กลายเป็นบทความแนะนำ ในหน้าแรกได้ นอกจากนี้ เว็บไซต์ควรจะมีการปรับให้เหมาะกับการใช้งานมือถือด้วย
3. สร้างแผนสำหรับการสร้างเนื้อหา Editorial Calendar
– ใช้โปรแกรม Outlook (Google Calendar) แชร์ปฏิทินแผนงานกับทีมการตลาด โดยมีการตั้งค่าการแจ้งเตือนสำหรับผู้สร้างคอนเทนต์เมื่อถึงกำหนดส่ง
- การทำ Ongoing Features
เช่นการเขียนคอนเทนต์ที่มีเนื้อหามีหมวดหมู่เดียวกัน โดยการสร้างหน้าหลักที่นำบทความมาจัดประเภทหมวดหมู่ให้มีความต่อเนื่องกัน เพื่อให้ผู้เข้าชมสามารถเข้าถึงคอนเทนต์ที่จัดเป็นเรื่องราวเดียวกันได้ง่ายขึ้น
- การจัดสรรเวลา
การผลิตเนื้อหาประเภทต่างๆ เช่น วิดีโอ และ Infographic จะต้องใช้เวลากับส่วนงานนี้ให้มากพอ เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย ความละเอียดของเนื้องาน และความต่อเนื่อง เพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับคอนเทนต์ และ ดึงดูดผู้เข้าชม รวมทั้งยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับการค้นหาผ่าน Google อีกด้วย
- การวางแผนงาน
ไม่ควรวางแผนล่วงหน้ามากจนเกินไปอย่างการวางแผนงานข้ามปี เพราะถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงเป้าหมายทางการตลาด งบประมาณหรือพนักงานเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้เราเสียเวลาและอาจจะไม่ได้นำงานที่วางแผนมาใช้
4. การวิเคราะห์คอนเทนต์
- ศึกษาความสำเร็จเพื่อทำกลยุทธ์ซ้ำ
หากพบว่าผู้เข้าชมสนใจคอนเทนต์ที่เป็นวิดีโอ ก็สามารถปรับแผนสำหรับการสร้างเนื้อหา Editorial Calendar เพื่อโฟกัสที่เนื้อหาได้ประเภทคอนเทนต์ที่สอดคล้องกัน
- นำบทความ SEO Content เก่ามาอัปเดตปรับปรุงเนื้อหาให้มีความทันสมัย และสดใหม่
ข้อมูลจาก
https: //yoast.com