ผู้ที่ทำคอนเทนต์ และนักการตลาดคงทราบดีว่า แบรนด์ต่าง ๆ ได้สร้างสรรค์คอนเทนต์ออกมาเป็นจำนวนมาก และ มาจากหลากหลายช่องทาง เมื่อสนามการแข่งขันมีขนาดใหญ่ และเต็มไปด้วยคู่แข่งทางธุรกิจรายย่อย รายใหญ่ อีกทั้ง รายงานจากเว็บไซต์ joelhouse.com.au ยังเผยอีกว่า มากกว่า 50% ของ Website Traffic (คนที่เข้ามาเยี่ยมชมหน้าเว็บไซต์เรา เวลาที่เข้ามาอยู่บนเว็บ และ จำนวนหน้าที่คลิก) มาจากการค้นหาคอนเทนต์แบบออร์แกนิคผ่าน Google ซึ่งนั่น เป็นเหตุผลว่า ทำไมแบรนด์จึงมุ่งหน้าทำคอนเทนต์ให้น่าสนใจ เพื่อดึงดูดให้คนเข้ามายังหน้าคอนเทนต์หรือเว็บไซต์นั่นเอง
นอกจากนี้ งานวิจัยจาก socialtriggers.com ระบุว่าการทำ Content Marketing สามารถสร้าง Lead Generation หรือกลุ่มเป้าหมายที่อาจกลายมาเป็นลูกค้าได้มากกว่าการทำคอนเทนต์แบบ Paid Search
สำหรับวิธีการที่ทำให้คอนเทนต์ของเราถูกค้นเจอจากการค้นหา หรือมีคนคลิกเข้ามาดูเนื้อหาของเรา คือการทำ SEO ซึ่ง “SEO” หรือ “Search Optimization” คือ วิธีการที่จะช่วยให้คอนเทนต์ของเราติดหน้าแรก หรืออยู่ในลำดับต้น ๆ ของการค้นหาผ่าน Google ซึ่ง SEO เป็นช่องทางที่หลาย ๆ คนให้ความสำคัญ ด้วยความสามารถที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของเรามียอดผู้เข้าชม (Traffic) สูงขึ้นได้แบบฟรี ๆ ไม่ต้องเสียค่าโฆษณา ซึ่งเราสามารถใช้เทคนิคต่าง ๆ เข้ามาช่วย เช่น
- การตรวจสอบความเร็วของเว็บไซต์
- การทำคอนเทนต์ให้น่าสนใจ อยู่ในเทรนด์
- การทำคอนเทนต์ที่มีเนื้อหาน่าเชื่อถือ มีผู้เชี่ยวชาญรับรอง ถูกหลัก E-A-T
- การเลือก Keyword ให้ตรงกับคำค้นหา
- การสร้าง Local SEO
- การเลือกภาพให้คมชัด ดาวน์โหลดไว
- การใช้ Data เข้ามาประเมินคุณภาพคอนเทนต์
และนี่เป็นเพียงตัวอย่างการทำ SEO ที่จะช่วยให้คอนเทนต์ของเราเข้าถึงผู้อ่าน และสามารถสร้างการรับรู้แบรนด์ และการขายได้ และนอกจากนี้ การใช้เครื่องมือเข้าช่วย ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้นักการตลาด และผู้ที่ทำคอนเทนต์สามารถผลิตบทความ และเนื้อหาที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีทิศทาง และวัดผลได้อีกด้วย
หากใครกำลังมองหาเครื่องมือในการทำการตลาด (Martech) เพื่อนำไปต่อยอดในการทำคอนเทนต์ และปรับปรุง SEO ในวันนี้ STEPS Academy มี 4 เครื่องมือในการทำ SEO เพื่อให้คอนเทนต์ของคุณติดอันดับต้น ๆ ของการค้นหา และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำคอนเทนต์ในดีขึ้นกว่าเดิมค่ะ
1. ทดสอบความเร็วเว็บไซต์ด้วยเครื่องมือ “Google PageSpeed Insights”
ความเร็วของการโหลดหน้าเว็บไซต์เป็นปัจจัยสำคัญในทำให้การจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณให้สูงขึ้น เมื่อมีค้นหาผ่าน SERP ของ Google โดยทั่วไปแล้ว เวลาที่เราค้นหาข้อมูลต่างๆ แล้วพบว่าเพจหรือเว็บไซต์มีการโหลดหน้าเว็บไซต์ช้า จะทำให้ผู้ใช้งานมีโอกาสเปลี่ยนไปเข้าหน้าเว็บไซต์อื่น ดังนั้น การมุ่งเน้นไปที่ความเร็วของเพจ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในการทำให้เว็บไซต์เกิด Conversion และสร้างการจัดอันดับที่สูงขึ้นบน SERP อีกด้วย ซึ่งเราสามารถใช้เครื่องมือ Google PageSpeed Insight เพื่อประเมินความเร็วในการดาวน์โหลดเว็บไซต์
Google PageSpeed Insights เป็นเว็บไซต์ที่เปิดให้ใช้งานกันแบบฟรี ๆ ซึ่งเราสามารถประเมินความเร็วของเว็บไซต์ของเราได้จากเว็บไซต์นี้ และสามารถตรวจสอบความเร็วของเว็บไซต์เรา เมื่อมีการดาวน์โหลดบนมือถืออีกด้วย (Mobile Friendly)
ข้อดีในการประเมินเว็บไซต์ด้วยการใช้ Google PageSpeed Insights
- ได้เห็นประสิทธิภาพของเว็บไซต์คุณเอง ว่าเป็นอย่างไร มีจุดบกพร่องในส่วนไหนที่สามารถแก้ไขได้ และเมื่อคุณใส่ลิงก์ของเว็บไซต์ลงไป ระบบก็จะมีการวิเคราะห์ และ ให้คะแนนตั้งแต่ 0 – 100 ซึ่งหากมีคะแนนมาก ก็แปลว่าเว็บไซต์ของเรานั้นมีประสิทธิภาพที่ดีเท่านั้น
- เมื่อมีการแก้ไขจุดบกพร่องของเว็บไซต์ ก็จะทำให้เกิด Bounce Rate ลดลง และทำให้ผู้อ่านอยู่บนเว็บไซต์เรานานขึ้น และมีโอกาสสูงที่จะเกิดการซื้อสินค้า และบริการ เนื่องจากเว็บไซต์ดาวน์โหลดง่าย ไม่ต้องรอนาน (Bounce Rate คือการที่เราคลิกปิดหน้าเว็บไซต์ที่ไม่ใช้งานแล้ว)
จากภาพด้านบน เป็นสถิติ Bounce Rate ที่เกิดขึ้นเมื่อมีการดาวน์โหลดเว็บไซต์ ยิ่งดาวน์โหลดนาน ก็ยิ่งทำให้โอกาสที่คนจะเข้ามาอ่านคอนเทนต์ของเราก็ยิ่งน้อยลง ซึ่งบางครั้งการดาวน์โหลดช้าเพียงแค่ 10 วินาที ก็มีสิทธิที่ Bounce Rate จะเกิดขึ้นสูงถึง 123%
จากภาพด้านบนเผยให้เห็นว่า อัตราการดาวน์โหลดเว็บไซต์ในระดับปกติจะอยู่ที่ 2 วินาที ซึ่งความเร็วมีผลต่อการจัดลำดับคอนเทนต์ของ Google Ranking ด้วยเช่นกัน
2. เครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์ SEO “Google Search Console”
Google Search Console เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล และตรวจสอบประสิทธิภาพ การทำงานของเว็บไซต์ ซึ่งเราสามารถนำผลลัพธ์ที่ได้ไปปรับใช้ ในการทำคอนเทนต์ เพื่อคุณภาพของเว็บไซต์ที่ดีมากขึ้น ซึ่ง Google Search Console สามารถใช้วางแผนในการทำคอนเทนต์ เพื่อเป็นการดันให้เว็บไซต์ของเรามี Traffic (จำนวนการเข้าชม) ที่สูงขึ้น เมื่อมีการค้นหาผ่าน Google โดยตัวอย่างของข้อมูลที่เราสามารถวิเคราะห์ได้ด้วย Google Search Console เช่น
– การรองรับโทรศัพท์มือถือ
– คีย์เวิร์ดที่ใช้
– จำนวนการเข้าชมเว็บไซต์
ทำไมต้องใช้ Google Search Console
- สามารถใช้งานได้ฟรี แต่จะต้องมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองก่อน
- ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน
- ช่วยยืนยันได้ว่า Google สามารถค้นหา และ ให้คะแนนเว็บไซต์ของเรา
- ใช้ในการแก้ไขปัญหาการให้คะแนน และการค้นหาเว็บไซต์โดย Google ที่ในบางครั้งคอนเทนต์ใหม่ของเรา Google อาจจะหาไม่เจอ ซึ่งเราสามารถใช้เครื่องมือนี้ ในการให้ Google เข้ามาค้นหาใหม่
- สามารถดูข้อมูลการแสดงผลบนหน้าการค้นหาของเว็บไซต์ของเรา เช่น แสดงขึ้นมาบนหน้าการค้นหาบ่อยแค่ไหน ?
- แสดง Backlinks ให้เห็นว่ามีเว็บไซต์ไหนบ้าง ที่มีการเชื่อมกลับมาที่บ้านหลังนี้ (จากเว็บไซต์)
Google Search Console Google เหมาะกับใคร
Google ได้ทำการระบุบุคคลที่เหมาะสมจะนำ Google Search Console ไปใช้ ซึ่งมีทั้งหมด 4 กลุ่มด้วยกันได้แก่
- เจ้าของธุรกิจ
ถึงแม้อาจจะไม่ได้ใช้โดยตรง แต่เจ้าของธุรกิจทุกคนที่มีเว็บไซต์ ก็จำเป็นที่จะต้องรู้จัก และ มีการบอกลูกทีมให้ใช้เครื่องมือ Google Search Console ตัวนี้ และควรเข้าใจฟีเจอร์พื้นฐานเพื่อทำให้รู้ว่าอะไร เป็นอะไร
- นักการตลาด หรือ ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO
เครื่องมือ Google Search Console จะทำให้นักการตลาด และ ผู้ทำ SEO รู้ว่าปัจจุบันเว็บไซต์มีคุณภาพแค่ไหน และต้องแก้ไขอะไรบ้าง ซึ่งนอกจากนี้ยังรวมทั้งข้อมูลต่าง ๆ ที่เราสามารถนำมาวิเคราะห์ และ ใช้เป็นแนวทางในการทำการตลาดทั้งคอนเทนต์ หรือ ยิงโฆษณาได้
- ผู้จัดการเว็บไซต์
หนึ่งในข้อมูลที่ Google Search Console สามารถแสดงผลออกมาให้เราเห็น คือ การทำงานของเว็บไซต์ ว่ามีคุณภาพมากแค่ไหน และ มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า เพื่อทำให้เราสามารถเข้าไปแก้ไขได้ทัน
- ผู้พัฒนาเว็บไซต์
ผู้พัฒนาเว็บไซต์ คล้ายกันกับผู้ดูแล ที่ Google Search Console จะช่วยบอกข้อผิดพลาดต่าง ๆ เกี่ยวกับโครงสร้างของเว็บไซต์ ทำให้ผู้พัฒนาสามารถรู้ได้ และเข้าไปแก้ไขทัน
3. เครื่องมือสำหรับการหา Keyword “Ubersuggest”
Ubersuggest คือ เครื่องมือที่จะช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์ “คีย์เวิร์ด” ที่เราต้องการจะใช้ และ “วิเคราะห์เว็บไซต์ของทั้งเราและคู่แข่ง” เพื่อเป็นแนวทางในการทำคอนเทนต์ให้น่าสนใจ และ ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับ SEO โดยเครื่องมือนี้เป็นเครื่องมือที่ถูกทำขึ้นโดย Neil Patel ที่หลาย ๆ คนในแวดวง Digital Marketing ทั่วโลกน่าจะคุ้นเคยกัน โดยการใช้ Ubersuggest สามารถแบ่งการใช้ได้เป็น 3 ส่วนด้วยกันซึ่งได้แก่
- การใช้ Ubersuggest เพื่อวิเคราะห์คีย์เวิร์ด
จากตัวอย่างด้านบน จะเป็นตัวอย่างการวิเคราะห์ผลลัพธ์จาก Keyword ว่าคำ ๆ นี้ในประเทศไทยมีผู้ค้นหามากน้อยแค่ไหน และช่วงเวลาไหนมีการค้นหา Keyword นี้บ่อยที่สุด
- การใช้ Ubersuggest เพื่อวิเคราะห์เว็บไซต์
เราสามารถวิเคราะห์หาคอนเทนต์จากแบรนด์คู่แข่งที่ใช้ Keyword ที่เราต้องการได้ว่า มียอดเข้าชมเว็บไซต์จำนวนเท่าไหร่ มี Backlink หรือไม่ และมาจากช่องทางใดบ้าง
- การใช้ Ubersuggest เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบอื่น ๆ ของ SEO
ตัวอย่างหน้า Site Audit ของ Ubersuggest
เรายังสามารถใช้เครื่องมือ Ubersuggest ตัวนี้ เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบอื่น ๆ ของการทำ Search Engine Optimization หรือ SEO และ ประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ที่คนมักใช้คำว่า “Health หรือ สุขภาพ” โดยสุขภาพของเว็บไซต์ส่วนใหญ่มักจะประกอบไปด้วย ความเร็วในการโหลด ข้อผิดพลาดทางเทคนิค และอื่น ๆ ที่อาจส่งผลเสียกับการทำ Search Engine Optimization หรือ SEO ของเรา ทั้งนี้วิธีการดูเราสามารถเข้าไปที่ตัวเลือก “Site Audit” ในกลุ่ม “SEO Analyzer” ที่แถบตัวเลือกด้านซ้าย ในหัวข้อใหญ่อย่าง “SEO Analyzer”
4 เขียนคอนเทนต์ติดอันดับ ด้วยเครื่องมือ “Keyword Planner”
Google Keyword Planner คือเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการค้นหา Keyword ที่ตอบโจทย์ในการทำคอนเทนต์เป็นอย่างมาก ซึ่งแบรนด์สามารถนำเครื่องมือมาใช้เพื่อช่วยในการพัฒนาแคมเปญการตลาดได้จากการเลือก Keyword ให้ตอบโจทย์กับโปรเจกต์ และเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์
นอกจากนี้ Keyword Planner สามารถช่วยให้คุณสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่ตรงกับกลุ่มลูกค้าของคุณ และ ช่วยให้ลำดับการค้นหาในเว็บ Search Engine อยู่สูงขึ้นได้
อย่างไรก็ตามผู้ที่ทำคอนเทนต์ และผู้ที่พัฒนาบทความ ต้องคอยหมั่นตรวจสอบคอนเทนต์ของคุณให้น่าสนใจอยู่เสมอ ด้วยการใช้คำศัพท์ หรือ Keyword ให้ตรงกับเทรนด์ในช่วงเวลานั้น ๆ หากคอนเทนต์เก่า ๆ ของคุณยังดี และมีประโยชน์ ก็สามารถเลือก Keyword ที่ติดเทรนด์ มี Search Volume จำนวนมากมาใช้เพื่อให้คอนเทนต์ของคุณไม่ตกกระแสได้ด้วยการนำ Keyword ที่อยู่ในคอนเทนต์มาประเมิน จะได้เป็นการเพิ่มโอกาสให้คอนเทนต์นั้น ๆ ถูกค้นเจอได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่างการใช้งานจากเครื่องมือ Keyword Planner ที่ระบุได้ว่า Keyword ที่เรากำลังวิเคราะห์นั้น มีจำนวนการค้นหามากแค่ไหนต่อเดือน มีคู่แข่งที่ใช้คำ ๆ นี้ค่อนข้างสูง หรือไม่มาก หรือหากถ้าเราต้องการ Bid คำ Keywork เหล่านั้น เพื่อให้คอนเทนต์เราหาเจอง่ายมากขึ้นจะมีราคาอยู่ที่เท่าไหร่
ข้อมูลจาก
https:// joelhouse.com.au
https:// neilpatel.com