การทำการตลาดออนไลน์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา “SEO” หรือ “Search Optimization” คือ ช่องทางที่หลาย ๆ คนให้ความสำคัญ ด้วยความสามารถที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของเรามียอดผู้เข้าชม (Traffic) สูงขึ้นได้แบบฟรี ๆ
SEO คืออะไร ?
SEO คือ การทำให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับต้น ๆ ของการค้นหาบน Google
จนถึงทุกวันนี้ในปี 2020 การทำการตลาดผ่านช่องทาง SEO ก็ยังคงเป็นที่พูดถึงในแวดวงการทำการตลาด และยังมีคนอีกมากที่เริ่มต้นให้ความสนใจ ที่จะหันมาให้ความสำคัญกับช่องทางนี้มากขึ้น
1. สถิติ SEO ในด้าน “การใช้งาน”
สำหรับใครก็ตามที่ยังลังเล ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นทำ SEO ดีหรือไม่ ? ในช่วงต้น ผมจะขอยกสถิติการใช้งาน SEO ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน จากทาง brightedge (องค์กรผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษา และ สถิติต่าง ๆ ด้าน SEO) มาให้ทุกคนได้ใช้ประกอบการตัดสินใจในการเริ่มต้นใช้ SEO กันครับ
1.1 สัดส่วนการเข้าชมเว็บไซต์ ส่วนใหญ่มาจากการใช้ Search Engine
จากสถิติของการเข้าชมเว็บไซต์ที่สามารถวัดผลได้ มีการเข้าไปยังเว็บไซต์ ผ่านการใช้ Search Engine มากถึง 68% และกว่า 53% เป็น Organic Search (การเข้าชมเว็บไซต์ผ่านผลลัพธ์การค้นหา ที่มีการกดเข้ามาจาก SEO โดยไม่ผ่านสื่อที่เสียเงิน)
จากสถิตินี้ทำให้เราเห็นว่า จำนวนผู้ใช้ Search Engine ในการเข้าถึงแบรนด์ต่าง ๆ มีมากกว่า 50% ซึ่งมากกว่าทั้งการเข้าผ่าน Banner Ads และ Social Media
เห็นอย่างนี้แล้ว สำหรับใครที่ยังลังเลใจ ก็อาจจะเห็นภาพมากขึ้นแล้วใช่ไหมครับว่าการใช้ SEO จะทำให้เราเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น
1.2 Google Image อีกช่องทางในการทำ SEO ที่น่าสนใจ
หลาย ๆ คนมักจะเข้าใจผิดว่า รูปแบบการค้นหา Google ที่มีลักษณะเป็นรายชื่อเว็บไซต์ขึ้นมาเป็นช่องทางเดียวเท่านั้น ที่เราควรให้ความสำคัญกับมันมากที่สุด ซึ่งความจริงแล้วยังมีอีกรูปแบบของ Search Engine ที่หลาย ๆ คนอาจจะมองข้ามไป นั่นคือการใช้ “Google Image” เพื่อหารูปภาพสินค้าต่าง ๆ
จากสถิติของการเข้าชมเว็บไซต์ในอเมริกา มีการเข้าเว็บไซต์จากการค้นหารูปภาพผ่าน “Google Image” ถึง 21%
แล้ว Google Image คืออะไร ? Google Image คือ การค้นหา Google ในรูปแบบของรูปภาพต่าง ๆ ซึ่งทุกคนก็น่าจะเคยใช้กันมาบ้างอยู่แล้ว แต่นักการตลาดหลายคน อาจจะมองข้ามไป ว่านี่คืออีกช่องทางสำคัญ ที่จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจคลิกเข้าชมเว็บไซต์ของเรา
แล้วต้องทำอย่างไรรูปภาพสินค้าของเราถึงจะไปแสดงในหน้า Google Image ? เนื่องจาก Google อาจจะยังไม่สามารถระบุได้ขนาดนั้น ว่ารูปภาพในบมความของเรานั้นมันหมายถึงอะไร ดังนั้นการใส่ Keyword ที่เราเลือกเอาไว้ใส่เข้าไปใน ”Image Title” และ “Alternative Text” ก็จะทำให้ Google สามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้น ซึ่งจะมีผลกับ SEO
โดยวิธีการใส่ เราก็สามารถทำได้ระหว่างการอัปโหลดรูปภาพขึ้นไปบนเว็บไซต์ ซึ่งโดยปกติแล้วมักจะมีตัวเลือกให้เรากรอกข้อมูลเหล่านี้ลงไป ซึ่งเราก็สามารถเลือกใส่ หรือ อธิบายข้อมูลภาพนั้น ๆ พร้อมกับการหยิบ Keyword ใส่เข้าไปแบบเนียน ๆ ด้วย
1.3 คุณภาพของ Lead ที่ได้ และโอกาสปิดการขายจากช่องทาง SEO
ถ้าใครได้มีโอกาสคลุกคลีกับฝ่ายขาย ก็คงจะรู้ว่า Lead หรือ ผู้สนใจที่เข้ามา จะมีโอกาสกลายเป็นลูกค้าในเปอร์เซ็นต์ที่ต่างออกไปในแต่ช่องทาง บ้างก็ปิดการขายจากคนที่เข้ามาทาง Facebook ได้มากกว่า บ้างก็บอกว่าปิดการขายได้จาก Banner Ads ได้สูง ซึ่งในกรณีของช่องทาง SEO นี้ ก็มีสถิติการปิดการขายที่ดี และ น่าสนใจอยู่ไม่ใช่น้อย
จากสถิติของ Hubspot ระบุว่า Lead ที่ได้มาจาก SEO มีโอกาสปิดการขายอยู่ที่ 14.6% ซึ่งสูงกว่าช่องทางอื่น ๆ อย่างเช่น Socail Media ที่มีโอกาสปิดการขายอยู่ที่ 4%
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะผู้ใช้ที่ทำการค้นหา ส่วนใหญ่มีการเจาะจงถึงตัวประเภทสินค้า หรือ ปัญหาที่กำลังพบเจอ ซึ่งถ้าสินค้าของเราอยู่บนอันดับต้น ๆ ก็จะมีโอกาสสูงกว่าที่คนจะคลิกเพื่อดูรายละเอียด
2. สถิติ SEO ในด้าน “การจัดอันดับ”
มาถึงสถิติในด้านการจัดอันดับสำหรับ Search Engine ที่น่าสนใจกันบ้าง ซึ่งก็อย่างที่เรารู้กันว่าเว็บไซต์ที่เกิดขึ้นมาบนโลกมีอยู่มหาศาล การที่เราคอยติดตามเรื่องวิธีการจัดอันดับของ Google จึงสำคัญ
2.1 ปัจจุบันเว็บไซต์ส่วนใหญ่ก็ยังไม่เคยได้ Traffic จาก Organic Search
ในปัจจุบันบน Search Engine อย่าง Google มีเว็บไซต์อยู่ทั้งหมด 4.45 พันล้านเว็บไซต์ด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่าเว็บไซต์ของพวกเราก็ถูกรวมอยู่ในนั้น และถูก Google นำไปใช้เก็บข้อมูล และ วิเคราะห์ต่าง ๆ
แต่จากสถิติที่น่าสนใจของ Ahrefs ระบุว่าเว็บไซต์กว่า 90.63% นั้นไม่เคยมี Traffic เข้ามาจาก Organic Search เลย
ซึ่งถ้าลองคำนวนดูแล้วเรียกได้ว่ามีเว็บไซต์อยู่มากมายมหาศาล ที่จะต้องพึ่งเพียงแค่การจ่ายเงินผ่าน Paid Search ต่าง ๆ เพื่อดึงคนเข้าเว็บไซต์ ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่เราทุกคนควรเริ่มต้นที่จะใส่ใจการนำ SEO มาใช้เพื่อไม่ให้เสียโอกาสในการได้ลูกค้าแบบฟรี ๆ ซึ่งในจุดนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วว่าคุณอยากให้เว็บไซต์ของคุณเป็นหนึ่งใน 90.63% นี้หรือไม่ ?
2.2 การทำ SEO ต้องใช้เวลา เพื่อที่จะได้ขึ้นไปอยู่บนหน้าแรก ๆ ของ Google
สำหรับคนที่เคยทำ SEO เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเคยมีความคิด มีความสงสัยว่าทำไมหน้าเว็บไซต์ของเราถึงไม่ขึ้นไปอยู่อันดับต้น ๆ สักที ซึ่งด้วยปัญหานี้ก็ทำให้หลาย ๆ คนล้วนถอดใจ และ มีความรู้สึกอยากเลิกใช้ช่องทาง SEO ในการทำการตลาด
ในความเป็นจริงแล้วการทำ SEO นั้นต้องใช้เวลา เพื่อที่บทความนั้น ๆ ของเราจะสามารถขึ้นไปอยู่ในหน้าแรก ๆ ของ Google ได้
จากสถิติค่าเฉลี่ยของหลาย ๆ หน้าเว็บไซต์ที่สามารถขึ้นไปอยู่บนอันดับต้นๆ ของ Search Engine ล้วนกินเวลาไปถึง 2 ปี ถึงจะได้อันดับดี ๆ อย่างในปัจจุบัน
โดยมีเพียง 5.7% เท่านั้นที่ขึ้นไปอยู่ Top 10 ภายในเวลาไม่เกินปี
จากสถิติข้างต้นนี้แสดงให้เห็นว่าการทำ SEO ให้ดีนั้นจำเป็นต้องใช้เวลา ซึ่งถ้าหากคุณกำลังท้อใจ และอยากที่จะหยุดให้ความสำคัญ ผมก็อยากให้ทุกคนลองอดทนกับมันแล้วจะเห็นผลลัพธ์ในอนาคตอย่างแน่นอนครับ
2.3 Meta Description องค์ประกอบ SEO สำคัญที่คุณไม่ควรมองข้าม
อย่างที่หลาย ๆ คนรู้กันว่าการทำ SEO นั้นมีองค์ประกอบสำคัญอยู่หลายอย่าง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ “Meta Description” ที่ Google จะนำไปแสดงผลตรงหน้าค้นหา ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้ารู้ว่าหน้าเว็บฯ นั้นเกี่ยวข้องกับอะไร ?
เว็บไซต์ที่ติดอันดับต้น ๆ ใน Google มีเพียง 25% เท่านั้น ที่ไม่มีการใส่ Meta Description ลงไป
จากสถิติข้างต้น ทำให้เราเห็นว่าผู้ทำ SEO หลาย ๆ ท่านล้วนแล้วแต่ให้ความสำคัญกับ Meta Description ทั้งนั้น ซึ่งทำให้องค์ประกอบนี้นับเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทุกคนขาดไม่ได้
นอกจากนี้ยังมีสถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับการใช้ Meta Description เพื่อ SEO เพราะมีเพียง 37.22% ของเว็บไซต์เท่านั้นที่ Google จะแสดง Meta Description ออกมา และยังมีอีกสถิติที่ระบุว่า กว่า 40% ของ Meta Description ถูก Google ทำให้สั้นลง หรือ เปลี่ยนแปลงไป
จากสถิติของ Ahrefs การแสดงผล Meta Description การใช้ Keyword ประเภท “Fat-head Keywords” จะมีโอกาสแสดงผลสูงกว่าค่าเฉลี่ย
แล้วทำอย่างไร Meta Description ถึงจะถูกแสดงออกมา ? คำถามนี้คงผุดขึ้นมาสำหรับผู้อ่านหลาย ๆ คน ซึ่งจากสถิติด้านบนการใช้ Keyword ประเภท “Fat-head” (Keyword สั้น ๆ ประมาณ 1 – 2 คำที่กว้าง ๆ เช่น รองเท้า ซื้อรองเท้า) จะทำให้มีโอกาสที่ Meta Description จะถูกแสดงผลถึง 40.35% ในขณะที่ค่าเฉลี่ยโดยทั่วไปจะอยู่ที่ 37.22%
ทั้งนี้ถึงแม้ Meta Description จะสำคัญ แต่ก็มีหลาย ๆ สำนักที่มีการแนะนำว่า ในกรณีที่เรามีเป้าหมายเป็น Keyword แบบ Long-tail (3 คำขึ้นไป) การปล่อยให้ Google แสดงผลบริเวณ Meta Description เป็นคำที่ลูกค้าค้นหาโดยอัตโนมัติ (Google จะจัดการเอง) อาจจะทำให้น่าสนใจมากกว่า ซึ่งขึ้นอยู่กับการพิจารณาของเรานั่นเอง
3. สถิติ SEO ในด้าน “Backlink”
“Backlink” หรือ การที่เว็บไซต์อื่น ๆ ใส่ลิงก์กลับมาหาบทความของเรา เป็นอีกสิ่งที่ทำให้เว็บไซต์มีโอกาสเข้าไปอยู่ในอันดับต้น ๆ ซึ่ง Google ทาง Google ก็ได้ระบุเลยว่า Backlink เป็นหนึ่งใน 3 องค์ประกอบที่มีผลต่อ SEO มากที่สุด (อีกสององค์ประกอบได้แก่ คอนเทนต์ และ ระบบอัลกอริทึมที่ชื่อว่า Rankbrain)
จากการเปิดเผยของ Ahref เว็บไซต์ใดที่มี Backlink (บทความหรือเว็บไซต์ ถูกผู้อื่นพูดถึงและใส่ลิงก์เชื่อมกลับมาในช่องเว็บไซต์อื่น ๆ ) จำนวนมาก ก็ยิ่งทำให้เว็บไซต์นั้น ๆ มี Traffic หรือ ผู้เข้าชมเว็บไซต์ ที่มาจากช่องทางการใช้ Organic Search เยอะขึ้น
อย่างไรก็ตาม กว่า 66% ของหน้าเว็บไซต์ ไม่มี Backlinks
จากสถิติของ Ahrefefs ข้างต้น การที่เราจะได้ Backlink กลับมาไม่ใช่ว่าเราจะสามารถได้มาง่าย ๆ ซึ่งส่วนใหญ่การจะได้มาซึ่ง Backlink บทความของเราต้องเป็นคอนเทนต์ที่มีคุณภาพจริง และเป็นที่ยอมรับ
อย่างไรก็ตาม ก็มีหลายเว็บไซต์ที่ใช้วิธีลัดที่จะช่วยให้เราได้ Backlink ง่ายมากขึ้นซึ่งนั่นก็คือ การซื้อ และ การแลกเปลี่ยน Backlink ซึ่งกันและกัน
43.7% ของเว็บไซต์ที่ทำ SEO ได้อันดับต้น ๆ ใช้วิธีการแลกเปลี่ยน Backlink กับเว็บไซต์อื่น
ถ้าหากเราดูจากสถิติแล้ว เราจะเห็นได้ว่าจะ มีเว็บไซต์จำนวนไม่น้อยที่ใช้วิธีแลกเปลี่ยน Backlink ในการเพิ่มโอกาสในการได้อันดับ SEO สูง ๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่เราต้องคอยระวัง นั่นคือเว็บไซต์ที่เราแลกเปลี่ยน หรือ ซื้อ Backlink ไป มีความสอดคล้องกัน และน่าเชื่อถือ หรือไม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะมีผลต่อภาพลักษณ์ของธุรกิจเราเช่นกัน
4. สถิติ SEO ในด้าน “Keyword”
“Keyword” องค์ประกอบที่นับเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการทำ SEO โดยในด้าน Keyword ก็มีสถิติที่น่าสนใจเช่น ซึ่งเราสามารถหยิบมาใช้เป็นแนวทางในการวางแผนการทำ SEO ได้
4.1 ความยาวของ Keyword กับอันดับ SEO
อย่างที่ได้พูดถึงไปก่อนหน้าแล้วสำหรับประเภทของ Keyword ที่มีอยู่ 2 ประเภทหลัก ๆ ด้วยกันนั่นคือ Long Tail Keyword และ Fat Head Keyword ซึ่งนอกจากจะมีผลต่อการแสดงผลของ Meta Description แล้ว ความยาวของ Keyword ก็มีผลต่ออันดับการค้นหาเช่นเดียวกัน
จากสิถิติของ Ahrefs ระบุว่า มีแค่ 7% ของการค้นหาเท่านั้นที่มีความยาวตั้งแต่ 4 คำขึ้นไป
นอกจากนี้ในจำนวน Keywords ที่ได้รับการค้นหาต่อเดือน 10,000 ครั้งขึ้นไป พบว่าส่วนใหญ่ (87%) มีความยาวไม่เกิน 2 คำ
ถ้าหากดูที่สถิติเราอาจจะพบว่ายอดการค้นหา Keyword ที่เป็นคำสั้น ๆ หรือ Fat Head Keyword ดูแล้วน่าจะเข้าถึงคนได้มากกว่า แต่อย่างไรก็ตามก็มีสิ่งที่เราจำเป็นจะต้องนำมาพิจารณา เช่น คำสั้น ๆ บางคำที่อาจสั้นไปจนเขียนต่อได้หลายความหมายซึ่งจะทำให้ยิ่งมีการแข่งขันสูง
และแค่นั้นยังไม่พอ เพราะการเลือก Keyword ก็มีอีกส่วนที่ต้องพิจารณา ซึ่งนั่นก็คือโอกาสในการกลายมาเป็นลูกค้า เพราะคำค้นหาที่ยาวกว่า (Long Tail Keyword) อาจหมายความว่าผู้ค้นหามีความต้องการเฉพาะเจาะจง และชัดเจน
4.2 การใช้คำถามเป็น Keyword
8% ของคำค้นหา (Queries) ที่เกิดขึ้นเป็นคำถามสั้น ๆ
ถ้าหากคุณกำลังสงสัย ไม่รู้ว่าจะใช้หัวข้ออะไรในการทำคอนเทนต์ดี สถิติทางด้านบนของ Moz (ผู้ให้บริการเครื่องมือด้าน SEO) ก็น่าจะช่วยให้เรามีไอเดียมากขึ้นได้ ซึ่งการใ่สคำถามเข้าไปจะช่วยเพิ่มความหลากหลาย และ โอกาสในการเข้าถึงลูกค้าที่มากขึ้น ซึ่งลูกค้าที่ค้นหาด้วยคำถามอาจจะเป็นกลุ่มที่ลังเล ซึ่งเราก็สามารถใช้ Keywod นี้ในการทำคอนเทนต์ที่แสดงผลขึ้นมาอันดับต้น ๆ มาช่วยลูกค้าตัดสินใจได้
5. สถิติ SEO ในด้าน “พฤติกรรมของลูกค้า”
การวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าจะช่วยให้เรารู้ได้ว่าจะวางแผนอย่างไรต่อไปในการทำ SEO ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้ Keyword หรือ การวางแผนต่าง ๆ ถ้าเราเข้าใจพฤติกรรมได้ดี ก็จะง่ายต่อการทำ SEO ให้มีผลลัพธ์
5.1 SEO กับการตัดสินใจซื้อ
39% ของผู้บริโภคระบุว่าการค้นหาข้อมูลสินค้าใย Google มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ
หลาย ๆ คน ถ้าเริ่มมีความสนใจ อยากจะซื้อสินค้า หรือ บริการอะไรสักอย่าง มันก็ต้องมีบ้างที่จะต้องหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า และบริการนั้น ๆ ซึ่งถ้าดูจากสถิติแล้วจะสังเกตได้ว่า การทำ SEO ให้ดีเพื่อให้มีเว็บไซต์ของเราขึ้นมา จะช่วยให้เราสามารถเข้าถึงลูกค้าในช่วงเวลาแห่งการตัดสินใจได้ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมธุรกิจต่าง ๆ ถึงจำเป็นต้องใช้ SEO ในการเข้าถึงลูกค้า
5.2 การค้นหาสินค้า และ บริการ “ใกล้ฉัน”
เคยไหมครับ ? เวลาที่คุณกำลังต้องการสินค้า หรือ บริการอะไรสักอย่าง แต่ไม่อยากรออยู่กับที่ หรือ แม้แต่ตอนที่อยากใช้บริการเดลิเวอรี่ แต่ก็กลัวว่าค่าส่งจะไม่ฟรี หรือ ค่าส่งแพงถ้าระยะทางไกลเกินไป ซึ่งทางออกของหลาย ๆ คนก็คือการหยิบมือถือขึ้นมา แล้วก็ค้นหาด้วยชื่อสินค้า หรือ บริการนั้น ๆ พร้อมกับคำว่า “Near Me” หรือ “ใกล้ฉัน”
จากสถิติ จำนวนการค้นหาสินค้า และ บริการพร้อมกับคำว่า “Near Me” มีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งในปี 2017 – 2019 มีอัตราการเติบโตสูงถึง 250% (Google)
แล้วสถิตินี้แปลว่าอะไร ? ถ้าหากเราดูจากสถิติด้านบนเราจะเห็นว่าคนมีการค้นหาสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ บริเวณ ที่ตั้ง (Location) ที่มากขึ้น ซึ่งเราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ ในการทำ SEO ได้ ยกตัวอย่างเช่น การเขียนบทความ “10 อันดับร้านอาหารในกรุงเทพ” ในขณะที่เราเป็นผู้ให้บริการเดลิเวอรี่อาหารที่มีความเกี่ยวข้อง เป็นต้น ซึ่งเมื่อมีคนสนใจและกดเข้ามา เราก็สามารถเขียนในเชิงโปรโมตสินค้าของเราได้เช่นกัน
5.3 SEO กับพฤติกรรมการใช้ Smartphone
จากสถิติของ Statista 52.2% ของผู้เข้าชมเว็บไซต์ มาจากการใช้โทรศัพท์มือถือทั้งสิ้น
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทุกคนก็คงจะรู้ว่าสถิติการใช้ Smartphone สูงขึ้นขนาดไหน ซึ่งหนึ่งในองค์ประกอบของการจัดอันดับ SEO ก็คือการทำให้เว็บไซต์ของเรามีความ “Mobile-friendly” หรือ การทำให้เว็บไซต์ของเรามีขนาดเหมาะสม และ มีประสิทธิภาพเต็มที่เมื่อเล่นบนมือถือ
ซึ่งถ้าหากใครสนใจ อยากรู้ว่าเว็บไซต์ของคุณมีความ “Mobile-friendly” แล้วหรือยัง ก็สามารถเข้าไปทดสอบกันได้ง่าย ๆ ด้วยการไปค้นหาใน Google ด้วยคำว่า “Mobile Friendly Test”แล้วใส่ URL เข้าไปเพื่อวัดผลครับ