Local SEO เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดอย่างหนึ่ง ที่ช่วยให้เว็บไซต์หรือบริการ ติดอันดับการค้นหาบน Google เหมาะสำหรับธุรกิจ SMEs หรือธุรกิจรายย่อย และร้านค้าท้องถิ่นนั่นเอง ซึ่งผู้ประกอบการ และนักการตลาดสามารถใช้เทคนิค SEO โดยเน้นไปที่คำค้นหาที่เป็น Keyword และสถานที่นั้น ๆ
เช่น ร้านอาหารเกาหลี + ทองหล่อ
บริการเช่ารถ + เชียงใหม่
น้ำพุร้อน + ฮอกไกโด เป็นต้น
อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า ธุรกิจที่เหมาะสมในการทำ Local SEO ก็คือธุรกิจที่อยู่ในท้องถิ่นนั้น ๆ ทั้งนี้ก็เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการค้นหาสินค้า บริการ หรือผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ตาม สามารถค้นหาร้านค้า หรือแบรนด์ของเราเจอบน Google ยิ่งเรามีความพร้อมในการบริการลูกค้า หรือ มีข้อมูลเพื่ออำนวยความสะดวกมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ร้านค้าของเรากลายเป็นที่รู้จักในตลาดออนไลน์มากขึ้นค่ะ
นอกจากนี้ข้อดีในการทำ SEO Local ยังสามารถสร้าง Traffic และ Lead กลุ่มเป้าหมายให้เข้ามาที่หน้าเว็บไวต์เพิ่มขึ้น ซึ่งในปี 2017 ที่ผ่านมา เว็บไซต์ reviewtrackers เผยว่า Local SEO ช่วยให้ Traffic ในการค้นหาเพิ่มขึ้น 35% อีกทั้งยังช่วยให้เว็บไซต์ดูน่าเชื่อถือขึ้น เนื่องจากเรามีหน้าตาของสถานที่ และช่องทางการติดต่อนอกเหนือจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่น ๆ อีกด้วย
ดังนั้น เราไปดูกันค่ะว่า แนวทางการสร้าง Local SEO ให้ได้ผลทั้ง 10 วิธีจะมีอะไรบ้าง ไปดูกันได้เลย
1 สร้างบัญชี Google My Business สำหรับธุรกิจ
อันดับแรก เราควรสร้างบัญชีสำหรับธุรกิจด้วย Google My Business กันก่อน เพื่อให้ Google ทราบถึงข้อมูลของธุรกิจ รายละเอียด สถานที่ตั้ง และสามารถทำ SEO เพื่อจัดลำดับ ซึ่งในเว็บไซต์ของ Google ได้ให้รายละเอียดวิธีการสมัครดังนี้
1 ในกรณีที่คุณลงทะเบียนธุรกิจใหม่ แต่อาจมีข้อมูลของสถานที่เดิมอยู่ ให้แก้ไขเป็นเพื่อทำเครื่องหมายปิด โดยไม่ต้องอ้างสิทธิ์ข้อมูลเก่า
2 ลงชื่อเข้าใช้ Google My Business จากนั้นคลิก ถัดไป
- ใช้ Domain ของธุรกิจที่ต้องการสมัคร
3 ใส่ที่อยู่ธุรกิจ และเครือธุรกิจให้ครบถ้วน ซึ่ง ระบบอาจขอให้คุณวางเครื่องหมายระบุตำแหน่งที่ชัดเจนในแผนที่ หลังจากนั้น คลิก ถัดไป
4 เลือกวิธีแสดงธุรกิจบน Google Maps
หากคุณให้บริการลูกค้า ณ ที่อยู่ธุรกิจ
- กรอกที่อยู่ธุรกิจของคุณให้ครบถ้วน จากนั้น คลิก ถัดไป ในกรณีที่แบรนด์ของคุณให้บริการลูกค้านอกสถานที่จากที่อยู่ธุรกิจ สามารถใส่รายละเอียดให้เลือกแสดงพื้นที่ให้บริกา
หากคุณไม่ได้ให้บริการลูกค้า ณ ที่อยู่ธุรกิจ
- กรอกที่อยู่ธุรกิจให้ครบถ้วน และคลิก ฉันจัดส่งสินค้า และบริการให้แก่ลูกค้า และคลิก ถัดไป จากนั้น แสดงพื้นที่ให้บริการ และ คลิกถัดไป อีกครั้ง
5 ค้นหาเพื่อเลือกประเภทธุรกิจ และกดเลือกถัดไป
6 ใส่หมายเลขโทรศัพท์หรือ URL เว็บไซต์ จากนั้นกดเลือก เสร็จเช็คข้อมูลก่อนกดยืนยัน
นอกจากนี้ สิ่งที่ผู้เขียนแนะนำคือ คุณควรสร้าง Landing Pag ที่เป็นหน้าเว็บสำหรับทำ Local SEO เพื่อทำอันดับบน Google โดยเราจะคำนึงถึงคำที่คนทั่วไปมักใช้ค้นหา (Keyword) และ ชื่อของท้องถิ่นที่คุณอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ถนนสายหลัก เขตอำเภอ หรือจังหวัด
เช่น โรงเรียนสอนโยคะ + เอกมัย เป็นต้น
2 ได้รับรีวิว และคำชมจากลูกค้า
การได้รับรีวิวจากลูกค้าหลังจากที่ลูกค้าได้ใช้บริการ และซื้อสินค้าไปแล้ว จะช่วยเพิ่มโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายตัดสินใจซื้อสินค้า และบริการได้ดีขึ้น เนื่องจาก การรีวิวจากลูกค้าถือว่าเป็น Social Proof อย่างหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันคนทั่วไปมักใช้เป็นหนึ่งในเหตุผลก่อนซื้อสินค้า
BrightLocal’s ในปี 2017 เผยว่ารีวิวจากลูกค้าท้องถิ่น 85% ได้รับความเชื่อถือจากกลุ่มเป้าหมายมากพอ ๆ กับการบอกปากต่อปากจากคนใกล้ตัว
Tips: วิธีการสร้างรีวิวจากลูกค้า
- หลังจากการขาย ในกรณีที่เจอตัวลูกค้า ขอให้ลูกค้าช่วยรีวิวการบริการ และคุณภาพสินค้า
- ส่ง Email เพื่อขอให้ลูกค้าช่วยรีวิว
- ตอบรับการรีวิวด้วยการเขียนข้อความขอบคุณ หรือขอโทษเพื่อปรับปรุงแก้ไข เพื่อแสดงถึงความใส่ใจ และบริการหลังการขาย
3 สร้าง Keyword ให้ตรงกับคำค้นหาบน Voice Search
Voice search หรือการค้นหาด้วยเสียงเป็นที่นิยมและเติบโตขึ้นมากในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่ง Voice Search จะใช้ Keyword ที่มีความยาวมากกว่าการค้นหาด้วยตัวอักษร ดังนั้นการใช้ Long-Tail Keywords* ในการทำ SEO จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า และกลุ่มเป้าหมายที่ใช้คำค้นหา จะมีโอกาสเจอแบรนด์ของเราได้ง่ายขึ้น
*Long-Tail Keyword เป็นการสร้างคำค้นหาอย่างหนึ่งซึ่งมีความยาวกว่า Keyword ทั่วไป เหมาะสำหรับการทำ Voice Search ที่ใช้ภาษาพูด ค้นหาแบบเป็นวลี หรือเป็นประโยค
โดยปกติแล้วคนทั่วไปมักใช้ Voice Search เพื่อเช็คช่วงเวลาทำการ ว่าร้านเปิดกี่โมง วันไหนบ้าง ช่องทางการชำระสินค้า หรือการค้นหารูปภาพเพื่อดูสินค้า และสถานที่ ดังนั้นเราไปดูกันค่ะ ว่าเราสามารถสร้าง Keyword อย่างไรเพื่อให้ตรงกับการค้นหาด้วยเสียงบ้าง
- คำสั่งเสียงที่ใช้มักเป็นภาษาพูด มากกว่าภาษาเขียน หรือประโยคทางการ
- คุณสามารถใช้ Google Trends เพื่อดูว่า คำศัพท์ในท้องถิ่นคำไหนนิยมใช้ หรืออาจมีการเทียบคำศัพ์ 2 คำ ขึ้นไปเพื่อเลือก Keyword ที่คนนิยมใช้ในการค้นหามากที่สุด
- ใช้ Keyword Planner หรือ Ubersuggest เพื่อค้นหา Keyword ยอดนิยม หรือ Search Volume
4 สร้างคอนเทนต์ หรือ Event ที่เกี่ยวข้องกับท้องถิ่น
หากธรุกิจของคุณมีการสร้าง Event จัดงานในสถานที่ท้องถิ่น คุณสามารถใช้ Event นี้ในการสร้าง Local SEO ได้โดย
- เขียน Blog หรือแจ้งประกาศสร้าง Event การจัดงาน
- สร้างคอนเทนต์วิดีโอ เพื่อโปรโมตงาน
- สร้างเว็บเพจที่เจาะจงเกี่ยวกับคอนเทนต์การจัดงาน
5 ทำให้เว็บไซต์ให้เหมาะกับ Mobile Friendly
ในปี 2018 งานวิจัยจาก Stone Temple เผยว่าเทรนด์การใช้สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้รับความนิยมมากขึ้น 57% ในปี 2016 และในปี 2017 ยังมีการเติบโตเพิ่มขึ้น 37%
นอกจากนี้ การศึกษาจาก Acquisio Determined พบว่า Traffic จากการค้นหาแบรนด์ท้องถิ่นโดยการใช้สมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้น 75%
ดังนั้น หากคุณสามารถปรับปรุงเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานบนหน้าจอสมาร์ทโฟนได้ดี พอๆ กันกับการใช้คอมพิวเตอร์ ก็จะช่วยให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายเข้าถึงเว็บไซต์ได้สะดวกขึ้นค่ะ
วิธีการพัฒนาเว็บไซต์ให้เหมาะกับ Mobile Friendly
- ตรวจสอบเว็บไซต์ว่าคุณภาพการ Download และความเร็วของเว็บไซต์
- การใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่ เพื่อให้อ่านง่าย
- การออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย
6 ใช้ Keyword ที่คนท้องถิ่นนิยม
Keyword Planner คือ เครื่องมือที่ใช้เพื่อตรวจสอบคำค้นหา หรือ Keyword ว่าในแต่ละเดือน มีผู้ค้นหาจำนวนมากน้อยเท่าไหร่ โดยการตรวจสอบคำเหล่านั้น มีส่วนช่วยให้เราทราบว่า Keyword นั้น ๆ ได้รับความยอดนิยมมากพอที่จะนำมาใช้เพื่อสร้างคอนเทนต์ หรือทำโฆษณาหรือไม่ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ทำการตลาดออนไลน์ด้วยเทคนิค SEO (Search Engine Optimization) เพื่อพัฒนาการจัดลำดับคอนเทนต์ และเว็บไซต์ให้อยู่ในลำดับที่สูงขึ้น และ SEM (Search Engine Marketing)
หากคุณต้องการสร้างคอนเทนต์ติดอันดับ และต้องการเพิ่ม Traffic ให้แก่เว็บไซต์ การใช้เครื่องมือ Keyword Planner จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงสิ่งที่ผู้บริโภค และคนทั่วไปกำลังต้องการ รวมไปถึงเทรนด์ต่าง ๆ ที่กำลังอยู่ในกระแสค่ะ
ตัวอย่างการใช้ Keyword Planner
เมื่อเราต้องการค้นหา Keyword ที่ต้องการคุณสามารถเลือกใช้คำที่เป็นคำ ๆ เดียว วลี หรือ ลิงก์ URL ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณก็ได้ ซึ่งตรงช่อง Average Monthly Search (การค้นหารายเดือนโดยเฉลี่ย) และ Competition (คู่แข่งใช้คำนี้มาก หรือน้อย) จะบอกคุณว่า Keyword นั้น ๆ เป็นที่นิยมในการค้นหาหรือไม่ และมีคู่แข่งที่ใช้คำ หรือวลีต่ำ กลาง หรือสูง
7 ใส่รายละเอียดของธุรกิจบน Location Page ให้ครบถ้วน
Location Pages จำเป็นสำหรับการสร้างธุรกิจ ซึ่งผู้ประกอบการควรใส่รายละเอียดให้ครบถ้วนบนเว็บไซต์ ซึ่งประกอบไแด้วย
- ช่วงเวลาให้บริการเปิด-ปิด
- รายละเอียดที่อยู่ เบอร์ติดต่อ
- ข้อมูลสินค้า และการให้บริการ
- Testimonial หรือรีวิวจากผู้ใช้
- ข้อมูลโปรโมชัน
- การใส่รายละเอียดแผนที่ หรือใส่ Google Map
ตัวอย่างจากเว็บไซต์ Canoga Park ที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับบริษัท
8 สร้าง Backlink (ลิงก์ที่มาจากเว็บอื่น) เพื่อส่ง Traffic กลับมายังเว็บไซต์แบรนด์
การสร้าง Backlink หรือที่เรียกอีกอย่างว่า Link Building เป็นการสร้างความน่าเชื่อถืออีกทางหนึ่งด้วยการสร้างลิงก์จากเว็บไซต์อื่น ๆ เป็นการทำ SEO แบบ Off-Page ตัวอย่างจากด้านล่าง เป็นการรีวิวธุรกิจท้องถิ่นจาก Foursquare ซึ่งมีการใส่รายละเอียดที่อยู่ เบอร์ติดต่อ รูปภาพ และแผนที่การเดินทาง
9 หาเว็บไซต์ที่เหมาะกับสินค้า และบริการเพื่อช่วยรีวิวธุรกิจ
Moz รายงานว่าผลการค้นหาจากเว็บไซต์ที่ช่วยรีวิวธุรกิจ เป็นปัจจัยที่สำคัญเป็นอันดับแรกในการทำ SEO ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทย มีเว็บไซต์ที่ช่วยธุรกิจรีวิวหลากหลาย เช่น Wongnai, Tripadviso และ Jeban เป็นต้น เว็บไซต์เหล่านี้สามารถช่วยโปรโมตแบรนด์ของคุณ
Tips: การสร้าง Backlinks ให้มีประสิทธิภาพ
- การทำคอนเทนต์บนเว็บไซต์ที่มีประโยชน์ต่อผู้อ่าน เพื่อให้เว็บไซต์อื่น ๆ สร้างลิงก์กลับเข้ามาที่หน้าเว็บไซต์
- ทำการตลาดด้วย Influencer ช่วยโปรโมตสินค้า และบริการจากแบรนด์คุณ พร้อมทั้งระบุสถานที่ของธุรกิจ
10 สร้างหน้าเพจที่แสดงรายละเอียดสินค้าและบริการแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อทำการค้นหาแบบละเอียดได้ง่ายขึ้น
หากคุณต้องการโฟกัสไปที่สินค้าชิ้นใดชิ้นหนึ่ง หรือการบริการอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นพิเศษ คุณควรสร้างหน้าเพจแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อให้คนที่ทำการค้นหา สามารถเจอสินค้าที่ต้องการได้ง่ายกว่าการสร้างเพจที่มีสินค้าทุกอย่างรวมอยู่ในหน้าเดียวกันค่ะ
หรือหากธุรกิจของคุณมีหลายสาขา คุณจะต้องให้รายละเอียดให้ชัดเจน เพื่อที่ว่าลูกค้าจะได้เดินทางไปถูกสถานที่
เช่น คุณมีธุรกิจเป็นคลินิคทำฟัน ถนนสุขุมวิท แต่มีสองสาขา ก็ควรให้รายละเอียดว่า ถนนสุขุมวิทซอยอะไร และเวลาทำการเปิดเหมือนกันหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกค้าเข้าใจผิดนั่นเอง
สรุป
การทำ Local SEO ด้วยการใช้ Google My Business สามารถช่วยให้ลูกค้าเจอแบรนด์ของเราได้ง่ายขึ้น จากการค้นหาผ่าน Google ซึ่งเหมาะกับธุรกิจรายย่อย และร้านค้าท้องถิ่น ทำให้กลุ่มเป้าหมายสามารถเดินทางไปยังร้านค้าของคุณได้ถูกต้อง ซึ่งหลักการทำ SEO ท้องถิ่นนี้สามารถนำวิธีการทั้ง 10 แนวทางไปใช้ ได้แก่
- สร้างบัญชี Google My Business สำหรับธุรกิจ
- ได้รับรีวิว และคำชมจากลูกค้า
- สร้าง Keyword ให้ตรงกับคำค้นหาบน Voice Search
- สร้างคอนเทนต์ หรือ Event ที่เกี่ยวข้องกับท้องถิ่น
- ทำให้เว็บไซต์ให้เหมาะกับ Mobile Friendly
- ใช้ Keyword ที่คนท้องถิ่นนิยม
- ใส่รายละเอียดของธุรกิจบน Location Page ให้ครบถ้วน
- สร้าง Backlink (ลิงก์ที่มาจากเว็บอื่น) เพื่อส่ง Traffic กลับมายังเว็บไซต์แบรนด์
- หาเว็บไซต์ที่เหมาะกับสินค้าและบริการเพื่อช่วยรีวิว
- สร้างหน้าเพจที่แสดงรายละเอียดสินค้าและบริการแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อทำการค้นหาแบบละเอียดได้ง่ายขึ้น
ที่มา: https://www.wordstream.com