คำถามที่นักการตลาด และ ผู้ประกอบการมักตั้งคำถามกันก็คือ เราจะขายของออนไลน์อย่างไร ให้คนเห็นเป็นต้องคลิก?
แน่นอนว่าก่อนที่สินค้าและบริการของแต่ละแบรนด์จะปล่อยออกมาในตลาดสู่สายตาคนบนโลกออนไลน์ จะต้องผ่านการผลิตที่ทีคุณภาพ การศึกษาเพื่อหาค้นหากลุ่มเป้าหมายที่ใช้ ช่องทางโปรโมตสินค้า และปัจจัยต่าง ๆ โดยการขับเคลื่อนทางธุรกิจนั้นมีความเปลี่ยนแปลงไปในทุก ๆ ปี เพราะฉะนั้น STEPS Acedemy ขอนำเสนอปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการขับเคลื่อนธุรกิจออนไลน์ที่สำคัญ ว่ามีปัจจัยอะไรบ้าง ซึ่งในบทความนี้เราจะเน้นที่ 5 ปัจจัยหลักที่มีผลต่อการวางกลุยทธ์การขาย หรือ Shopping Online เพื่อให้ผู้ประกอบการทั้งองค์กรขนาดใหญ่ รวมทั้งธุรกิจ Startup นำปัจจัยเหล่านี้ไปพิจารณาเพื่อต่อยอดการวางแผนการตลาดดิจิทัลกันค่ะ
1 สร้างคอนเทนต์ที่เน้นผลลัพธ์ด้าน Conversion
การโปรโมตสินค้าไม่ว่าจะเป็นแบบออร์แกนิค หรือโฆษณา จุดประสงค์ที่สำคัญมาก ๆ นอกเหนือจากการสร้างการรับรู้แบรนด์ คือการที่ทีคนคลิกปุ่ม Call to Action เพื่อให้เกิดผลลัพธ์บางอย่างเช่น
- การซื้อสินค้าทั้งบนเว็บไซต์ และบนโซเชียลมีเดียแลพตฟอร์มโดยตรง
- การสร้าง Engagement เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นบนโพสต์ การแชร์บทความ และการแท็กเพื่อเพื่อบอกต่อ
- การคลิกเพื่อรับสิทธ์ต่าง ๆ จากการโปรโมตสินค้า
- การอ่านบทความ และดูรยาละเอียดเพิ่มเติม
- การคลิกเพื่อดาวน์โหลดแอป
รูปแบบการนำเสนอคอนเทนต์
การทำคอนเทนต์ในยุคดิจิทัลนั้นมีวิธีการสื่อสารได้หลายช่องทาง และหลากหลายรูปแบบ โดยในวันนี้เราจะเน้นที่ 4 รูปแบบหลัก ๆ นั่นก็คือ
1.1 คอนเทนต์รูปภาพ
นอกจากการโปรโมตสินค้า และบริการด้วยภาพที่น่าดึงดูดและ การสร้างคอนเทนต์ที่ตรงกับเทรนด์ในขณะนั้น และการสร้าง Message บางอย่างไปยังกลุ่มเป้าหมายก็สามารถสร้าง Conversion ให้แคมเปญขับเคลื่อนต่อไป
ตัวอย่างคอนเทนต์รูปภาพจากLego
Lego ออกแบบแคปเปญวันวาเลนไทน์ด้วยการสร้างกราฟิฟรูปหัวใจด้วยตัวต่อเลโก้ โดยแม้ว่าคอนเทนต์นี้จะไม่มีการคลิก หรือการสร้าง Call to Action ไปยังเว็บไซต์โดยตรง แต่ก็สามารถสร้าง Engagement การกดถูกใจ การบอกต่อ และการแท็กคนที่เรารักในช่วงเทศกาลได้เป็นอย่างดี
1.2 คอนเทนต์วิดีโอ
วิดีโอ หรือภาพเคลื่อนไหวเป็นคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมไม่มีตก ไม่ว่าจะเป็นทั้งในรูปแบบวิดีโอที่มีความยาว หรือคลิปวิดีโอสั้น ๆ ดังนั้นหากนักการตลาดกำลังมองหารูปแบบคอนเทนต์วิดีโอที่จะช่วยในการโปรโมตการขายออนไลน์ ควรพิจารณาวิดีโอสั้น ๆ ในแพลตฟอร์มโซเชียลต่าง ๆ เพื่อนำเสนอกลุ่มเป้าหมาย โดยเน้นที่ความสร้างสรรค์ ไอเดียการนำเสนอที่ไม่เหมือนใคร และการสร้างข้อความให้คนคลิกมายังเว็บไซต์ให้ชัดเจน
ตัวอย่างคอนเทนต์วิดีโอสั้น ๆ บน TikTok
ตัวอย่างวิดีโอคอนเทนต์จากรองเท้า New Balance ที่นำเสนอการใช้งานจริงจากการวิ่ง พร้อมด้วยการสร้างแคปชันที่สั้น แต่กระชับ รวมทั้งการแสดงปุ่ม Shop Now ที่ชัดเจนเพื่อให้ง่ายต่อการคลิก
ตัวอย่าง Call to Action บน TikTok
1.3 คอนเทนต์แบบ Longform บทความออนไลน์
แม้ว่าการทำการตลาดที่เน้นการชอปปิงออนไลน์อาจไม่ได้เน้นการสร้างบทความมากเสียเท่าไหร่ เนื่องจากคอนเทนต์ Longform เน้นไปที่การอ่าน การใช้เวลาทำความเข้าใจ แต่หากแบรนด์ไหนที่มีหน้าเว็บไซต์เป็นของตัวเอง และมี Blog เพื่อนำเสนอบทความอยู่ในนั้น จะช่วยให้ลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าและบริการของเรา มีความรู้ด้านตัวสินค้าของเราได้ดียิ่งขึ้น ใช้เวลากับเราบนหน้าเว็บไซต์มากขึ้น และเกิด Conversionจากการอ่านคอนเทนต์เหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการแชร์ และการสแดงความคิดเห็นเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อบทความ หรือหัวข้อนั้น ๆ ซึ่งจะส่งผลดีต่อ SEO อีกด้วย
1.4 คอนเทนต์แบบเสียง
ความจริงแล้วการทำคอนเทนต์เสียงไม่ใช่การโปรโมตแบรนด์ในรูปแบบใหม่แต่อย่างใด แต่ในยุคดิจิทัลนั้น เราสามารถทำการตลาดในช่องทางใหม่ ๆ ได้หลากหลายมากขึ้น นอกเหนือจากช่องทางสถานีวิทยุ ซึ่งรูปภาพด้านบนเป็นสถิติจาก eMarketer เผยให้เห็นว่าคนชอบฟัง Podcast เพิ่มมากขึ้นจาก 44.5% ในปี 2019 จนปัจจุบันที่มีจำนวนมากขึ้นโดยคิดเป็นร้อยละ 57 ดังนั้นหากแบรนด์ไหนที่ต้องการทำคอนเทนต์เสียงเพื่อสื่อสารไปยังผู้ฟัง หรือต้องการทำโฆษณาเสียงแบบสั้น ๆ ลองหาช่องทางโซเชียลที่เหมาะกับกลุ่มลูกค้าของเรากันด้วยนะคะ
ตัวอย่างช่องทางการทำคอนเทนต์เสียง
- Google Podcast
- Apple Podcast
- Spotify เป็นต้น
2 FOMO: โปรด่วน โปรดีที่ต้องรีบซื้อ
Fomo ย่อมาจาก Fear of Missing Out ซึ่งความหมายของ FOMO ในมุมของการตลาดนั้น คือ กลยุทธ์ที่นำเสนอลูกค้าที่มีจุดประสงค์เพื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกกลัวว่า เราอาจจะพลาดบางสิ่งไป เพื่อเพิ่มโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกไม่อยากเสียโอกาว และลงมือทำในสิ่งที่แบรนด์ต้องการ เช่น กดสั่งซื้อสินค้า เป็นต้น อย่างไรก็ตาม FOMO เป็นเพียงจิตวิทยา ที่ทำให้ผู้พบเห็นโฆษณารู้สึกไม่อยากพลาดสิ่งๆนั้น รูปแบบของ FOMO จึงไม่ตายตัว แต่ละธุรกิจสามารถคิดค้นขึ้นมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับแคมเปญโฆษณาของตนเองได้
ทำการตลาดอย่างไรให้เหมาะสมกับผู้บริโภค FOMO
- เน้นการทำคอนเทนต์แบบ Real-Time อยู่ในกระแสประเด็นร้อนในสังคม
- Stories และ Live เป็นคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์เพื่อโปรโมตสินค้า และสั่งจองในช่วงเวลานั้น ๆ
- การทำแคมเปญเน้นโปรโมชั่นที่พลาดไม่ได้ หรือการโฆษณาแบบสุดพิเศษที่มีเวลาเป็นข้อจำกัด จะทำให้กลุ่มคน Fomo ตัดสินใจซื้อได้ไวขึ้น
ตัวอย่าง Content แบบ FOMO
จากภาพด้านบนเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นข้อความที่มีการระบุว่า สินค้าเหลือเพียงหนึ่งชิ้นแล้ว ทำให้ผู้ที่กำลังจะติดสินใจซื้อรีบชำระเงินไวขึ้น
3 ระบบการส่งสินค้าไว ไม่ต้องรอนาน
อีกหนึ่งปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการขับเคลื่อนธุรกิจออนไลน์คือระบบการส่งสินค้า ยิ่งลูกค้าได้สินเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีเท่านั้นโดยสถิติจากเว็บไซต์ junglescout ระบุว่า 48% ของนักชอปออนไลน์ยอมจ่ายเงินเพิ่มเพื่อให้สินค้าส่งตรงมาถึงบ้านของตนได้ไวขึ้น และ 55% ของนักชอปออนไลน์ที่ซื้อสินค้าผ่าน Amazon ก็คำนึงถึงความไวของระบบขนส่งเช่นเดียวกัน ดังนั้น แบรนด์ไหนที่จะต้องส่งสินค้าไปยังผู้บริโภค ควรคำนึงถึงความว่องไวของระบบขนส่ง และการการันตีคุณภาพเมื่อสินค้าถึงมือผู้รับผ่านเว็บไซต์ ก็จะช่วยให้ลูกค้าไว้วางใจแบรนด์ของมากขึ้น
ตัวอย่างหน้าการชำระสินค้าบนเว็บไซต์ Amazon ที่ระบุวันที่ ๆ สินค้าจะส่งถึงหน้าบ้านผู้รับ พร้อมข้อเสนอที่สามารถเปลี่ยนวันส่งสินค้าได้ในกรณีที่ไม่มีผู้รับอยู่ที่บ้าน
4 ช่องทางบน Social Media ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
ปัจจจุบันผู้ใช้โซเชียลมีเดียมีแอปพลิเคชันมากกว่า 1 แอป โดยจัดประสงค์ในการใช้แต่ละแอปนั้นก็แตกต่างกันออกไป เช่น การใช้ Instagram เพื่อสื่อสารกับเพื่อน และอัปเดตชีวิตส่วนตัว การเล่น TikTok เพื่อเสพสื่อความบันเทิง หรือการดู YouTube เพื่อติดตาม Influencer ที่ให้ความรู้ในแขนงที่ตนสนใจ ดังนั้น การทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ให้ชัดเจน เพื่อเลือกช่องทางในการสื่อสารได้อย่างตอบโจทย์
อ่านบทความเพื่ออัปเดต Social Media ที่เหมาะกับธุรกิจออนไลน์: คลิกเลย
แพลตฟอร์มที่เหมาะกับการทำธุรกิจ Shopping Online ที่ง่าย ไม่ซับซ้อน ตอบโจทย์กับธุรกิจขนาดเล็ก
3.1 Facebook
สำหรับธุรกิจในไทยนั้น แบรนด์ทั้งขนาดใหญ่ และ ขนาดย่อมส่วนมากมีเพจบนเฟสบุคเป็นของตัวเองเพื่อใช้ในการโฆษณาสินค้า การติดต่อ และ การสั่งซื้อของ ในปัจจุบันปี 2022 เราจะเห็นว่าระบบการสั่งซื้อ และ การชำระสินค้าสะวดกขึ้นมาก เรียกได้ว่าจ่าย จบ ครบที่แพลตฟอร์มเดียว
3.2 Instagram
Instagram มีฟีเจอร์ Instagram Shop ที่น่าสนใจในการขายสินค้าออนไลน์ เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้การขายสินค้าและการโฆษณาบน Instagram เป็นเรื่องง่าย ด้วยการโพสต์สินค้าและบริการผ่านแอคเคาท์ Business ที่เรามี ซึ่งมีลักษณะคล้ายกันกับการโพสต์รูปภาพและวิดีโอผ่าน รวมไปถึงการโพสต์ Instagram การโพสต์สินค้าต่าง ๆ ผ่านหน้าโพรไฟล์สามารถทำได้ด้วยการคลิกที่ปุ่ม “Shop” ซึ่งเป็นแท็บด้านล่างรายละเอียดโพรไฟล์และไฮไลท์
3.3 TikTok
TikTok เป็นการทำการตลาดโดยใช้ วิดีโอสั้น ๆ เป็นตัวกลางหลักในการสื่อสาร ดึงความสนใจ เพื่อเชื่อมโยงไปยังช่องทางการขายของธุรกิจ และ ให้ผู้คนสามารถเข้าถึงได้ ซึ่งการทำโฆษณาบนแอปพลิเคชั่นนี้ จะมีความพิเศษ และ แตกต่าง จากแพลตฟอร์มอื่น ๆ ด้วยการนำเสนอเป็นสื่อวิดีโอขนาดสั้นที่สามารถนำเสนอภาพลักษณ์ของธุรกิจ ได้อย่างกระชับ สร้างสรรค์ และ เป็นที่จดจำ ได้ในเวลาเดียวกัน
5 Data Marketing
การทำธุรกิจออนไลน์นั้นไม่มีทฤษฎี หรือกลยุทธ์ไหนที่ตายตัว เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายในการทำการตลาดไม่เหมือนกัน และ สินค้า และบริการของแต่ละแบรนด์นั้นมีจุดเด่นเฉพาะในแบบของตัวเอง สิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนการ Online Shopping ให้แบรนด์ก้าวต่อไปได้ในอนาคตคือการรู้จักตัวตนลูกค้า ซึ่งการเข้าถึงความต้องการ และเข้าใจปัญหาลูกค้าคือการมีข้อมูลอยู่ในมือ โดยข้อมูลเหล่านี้ แต่ละแบรนด์ย่อมมีความต่างกันออกไป ดังนั้น การทำ Data Marketing สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ในเชิงลึกว่ามีความต้องการอะไร มีพฤติกรรมแบบไหนในปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยให้นักการตลาดสามารถนำเสนอสินค้า และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้อย่างตอบโจทย์ ทั้งในแง่ของการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย หรือการทำการตลาดแบบ Personalization แบบเฉพาะเจาะจง ดังนั้น การตลาดแบบเดิม ๆ อาจไม่ตอบโจทย์กับผู้บริโภคในยุคดิจิทัล ที่ต้องการความไว และ มีความคาดหวังในตัวแบรนด์มากกว่าอดีต ซึ่งการที่นักการตลาดจะสามารถเข้าใจถึงเหตุผล ความต้องการ และพฤติกรรมของลูกค้าได้ คุณจะต้องรู้จักใช้ข้อมูล และเครื่องมือที่เหมาะสม
ข้อมูลจาก
blog.hubspot
mageplaza
junglescout.
whiplash