เดือนสิงหาคมกำลังจะผ่านไปและ Facebook ก็ยังเป็นช่องทางยอดนิยมที่หลาย ๆ คนเลือกใช้กัน ดังนั้นวันนี้ผมจะขอพาทุกคนไปติดตามข่าวสารที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็นการอัปเดตต่าง ๆ หรือ แนวทางการทำการตลาดใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นใน Facebook กันครับ
1. “Messenger” กับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ที่จะทำให้แต่ละช่องทางเชื่อมกันอย่างไร้รอยต่อ
ในช่วงกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา Facebook ได้ทำการทดลองอัปเดตการใช้งาน Instagram Chat ที่ประกอบไปด้วย การปรับเปลี่ยนหน้าตาให้มีสีสันใหม่ ๆ มากขึ้น, อีโมจิตัวใหม่ ๆ, ฟีเจอร์ที่ชื่อว่า “Swipe to Reply” และสุดท้ายที่สำคัญที่สุดนั่นคทิ “ปุ่มแชทกับเพื่อนบน Facebook”
“ปุ่มแชทกับเพื่อนบน Facebook” คืออะไร ?
ปุ่มแชทกับเพื่อนบน Facebook คือ การอัปเดตของ Instagram Chat ให้สามารถข้ามแพลตฟรอ์มไปคุยกับบุคคลอื่น ๆ ในแพลตฟอร์มอื่นได้ ซึ่งจะประกอบไปด้วยแพลต์ฟอร์ม Facebook Messenger, Instagram และ Whatsapp
โดยการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะสามารถสังเกตได้ทันทีว่ามุมตรงขวาบนของ Instagram Chat นั้นหน้าตาเปลี่ยนไป ซึ่งก็ถูกเปลี่ยนให้กลายมาเป็นไอคอนของ Facebook Messenger นั่นเอง
ที่มา The Verge
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีผลกระทบอะไรกับเราบ้าง ?
ในอนาคตการที่ทุก ๆ ระบบแชท ของแต่ละแพลตฟอร์มมีการเชื่อมต่อกัน คาดว่าจะทำให้ธุรกิจ และ ลูกค้าได้รับความสะดวกในการสื่อสารซึ่งกันและกันมากขึ้น โดยเฉพาะกับบางแบรนด์ที่อาจมีการสร้างบัญชีไว้แค่เพียงแพลตฟอร์มเดียว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะทำให้ธุรกิจเหล่านั้นมีโอกาสในการเข้าถึงคนได้มากขึ้น เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะมีบัญชีอยู่ในทุกแพลตฟอร์ม และ ไม่ใช่ทุกแพลตฟอร์มที่ธุรกิจเราจำเป็นต้องมี
ทั้งนี้เรายังต้องรอดูกันต่อไป ว่าสุดท้ายแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ในอนาคตจริง ๆ หรือไม่ ? และการอัปเดตครั้งนี้จะมีผลกระทบขนาดไหน ในอนาคตอันใกล้คาดว่าเราจะได้เห้นข่าวคราวเพิ่มเติมแน่นอนครับ
ที่มา Facebook
2. ยอดไลก์บนหน้า Facebook Page กำลังจะหายไป !
สำหรับข่าวการอัปเดตนี้ เป็นที่พูดถึงกันมาตั้งแต่ช่วงต้นเดือน เมื่อเว็บไซต์ Techcrunch ได้ออกมาเตือน ถึงการอัปเดตที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตของ Facebook Page ซึ่งการอัปเดตครั้งนี้หน้าตาของ Facebook Page จะเปลี่ยนไป โดย “ยอดไลก์ของ Facebook Page จะไม่ถูกแสดงให้เห็นอีกแล้ว”
“ยอดไลก์” จะหายไปแล้วมีการใส่ยอด “ผู้ติดตาม” เข้ามาแทน
การเปลี่ยนแปลงของหน้า Facebook Page ครั้งนี้ ทำให้เราเห็นว่า “ยอดผู้ติดตาม (Follower)” จะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญกว่า “ยอดไลก์” และอาจมีผลกระทบทำห้อัลกอริทึมอาจถูกปรับครั้งใหม่โดย “ยอดไลก์” อาจจะไม่มีผลมากเท่าไหร่นัก และนี่จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่แต่ละธุรกิจต้องหันมาให้ความสำคัญกับ “ยอดผู้ติดตาม” ในการทำการตลาดผ่าน Facebook Page มากขึ้น
นอกจากยอดไลก์จะหายไป แล้วมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงอีก ?
การอัปเดตครั้งนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่การหายไปของ “ยอดไลก์” เท่านั้น แต่มันยังเกี่ยวข้องกับดีไซน์ของหน้า Facebook Page ในองค์ประกอบอื่นด้วย
หากเราดูจากภาพตัวอย่างเราจะสามารถสังเกตได้ว่าภาพโปรไฟล์มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น และข้อมูลต่าง ๆ เช่น BIO (ข้อความใต้ชื่อ Facebook Page) ก็ถูกทำให้มีความชัดเจน อ่านง่ายมากขึ้น
ทำไมถึงต้องเปลี่ยน ?
จากแหล่งข่าวได้มีการคาดเดาว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีผลมาจากพฤติกรรมการกดไลก์ของผู้ใช้งาน ที่ไม่เหมาะกับการนำมาใช้เป็นตัวชี้วัด เนื่องจากหลาย ๆ ครั้ง ผู้ใช้มักจะกดไลก์ให้ Facebook Page เพราะความชอบเพียงชั่วคราว หรือ เพื่อเป็นการสนับสนุนคนรอบข้าง ซึ่งจริง ๆ แล้วผู้ใช้มักจะกด “ยกเลิกการติดตาม (Unfollow)” เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่ง และนั่นคือเหตุผลที่ี “ยอดไลก์” กลายเป็นตัวชี้วัดที่ไม่ได้แม่นยำเหมื่อนเคยอีกแล้ว แต่เป็น ”ยอดผู้ติดตาม” แทน ที่ได้รับความน่าเชื่อถือมากขึ้น
3. Facebook ปล่อยวิดีโอแนวทางการออกแบบโฆษณา ที่ถูกพิสูจน์มาแล้วว่า “ดี”
ด้วยรูปแบบที่หลากหลายบวกกับความสามารถในการเข้าถึงเป้าหมายอย่างแม่นยำ ทำให้การยิงโฆษณาออนไลน์บน Facebook หรือที่เรียกว่า Facebook Ads เป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในการทำการตลาด
และจากความนิยมที่เกิดขึ้นทำให้ Facebook ได้ปล่อยวิดีโอตัวหนึ่งในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวิดีโอที่บอกว่าการออกแบบโฆษณาที่ได้ผลดีเป็นอย่างไร โดยแนวทางการออกแบบโฆษณาในวิดีโอตัวนี้ถูกแบ่งออกเป็น 3 องค์ประกอบด้วยกันซึ่งได้แก่ ข้อความ (Text) จังหวะเวลา (Timing) และ รูปแบบ (Format) ซึ่งวันนี้เราจะคัดข้อมูลที่น่าสนใจมาให้ทุกคนได้อ่านกันดังนี้
แนวทางการออกแบบองค์ประกอบ “ข้อความ (Text)”
การออกแบบโฆษณาที่ดีที่ Facebook แนะนำเริ่มต้นด้วยการลอง นำ “คำถาม” ใส่เข้าไปในข้อความของโฆษณา ซึ่ง Facebook ระบุว่าจะช่วยให้โฆษณาตัวนั้น ได้รับการมีส่วนร่วม (Engagement) มากขึ้น โดยตัวอย่างเช่น “เคยเป็นไหม ? อยากโฆษณาออนไลน์แต่ไม่รู้จะวางแผนอย่างไรดี” เป็นต้น
ที่มา Asana
การทำวิดีโอโฆษณาที่รองรับการปิดเสียง เป็นหนึ่งแนวทางที่ Facebook แนะนำ ด้วยพฤติกรรมของผู้ใช้งานปัจจุบัน ที่มักจะมีการดูวิดีโอระหว่างเดินทาง หรือ อยู่ในที่สาธารณะ ซึ่งทำให้การใส่ข้อความบรรยายข้างใต้ (Subtitle) เป็นเรื่องที่จำเป็น
นอกจากนี้ในเรื่ององค์ประกอบด้านข้อความ Facebook ยังมีการแนะนำให้เราหมั่น ใส่ใจในจุดนำสายตาบนโฆษณาที่เราออกแบบ เพื่อที่เราจะสามารถใส่ข้อความสำคัญลงไปในจุดนั้น เพื่อเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าจะได้รับสารสำคัญที่เราต้องการจะสื่อ
แนวทางการออกแบบองค์ประกอบ “จังหวะเวลา (Timing)”
ในด้านของจังหวะและเวลาของโฆษณาประเภทวิดีโอบน Facebook Ads ของเรา Facebook ก็ได้มีการแนะนำให้เราต้อง สื่อสารใจความสำคัญให้ได้ภายใน 5 วินาที เพราะหลังจากนั้นจะมีโอกาสสูงที่ลูกค้าจะปิดโฆษณาไปก่อนได้
อีกแนวทางหนึ่งที่ Facebook แนะนำ นั่นคือการทำโฆษณาประเภทวิดีโอให้ สื่อตัวตนของแบรนด์ให้ลูกค้ารู้ว่าเราคือใคร ภายใน 3 วินาที ไม่ว่าจะเป็นการใส่ตรง ๆ ด้วยโลโก้แบรนด์ หรือ เนียน ๆ ด้วยองค์ประกอบอื่น ๆ ที่แสดงตัวตนของเรา เช่น โฆษณาวิดีโอออนไลน์ของ iPhone ที่มีการใช้เสียงนาฬิกาปลุกที่คุ้นเคยในช่วงต้นของโฆษณา
แนวทางการออกแบบองค์ประกอบ “รูปแบบ (Format)”
การออกแบบโฆษณา Facebook Ads สามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งรูปแบบ วิดีโอ รูปภาพ รายการสินค้า (Collection) หรือ รูปภาพแบบเลื่อน (Carousel) ซึ่งจากวิดีโอตัวนี้ Facebook ได้มีการเปิดเผยว่า การโฆษณาที่มีการใช้รูปแบบหลากหลายมากกว่าจะทำให้มีผลตอบรับที่ดีขึ้น
หนึ่งในรูปแบบของการโฆษณาที่เรียกได้ว่าน่าสนใจและเริ่มได้รับความนิยมในการใช้ในปัจจุบัน นั่นคือการโฆษณาในรูปแบบ “Story Ads” ซึ่ง Facebook ก็ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การโฆษณา Story Ads ด้วยวิดีโอสั้น ๆ ติดต่อกันจะทำให้น่าติดตามมากว่า ซึ่งการลงโฆษณา Story Ads ในรูปแบบนี้เหมาะกับพฤติกรรมการใช้งานทั่วไป ที่มักจะกดเลื่อนดูไว ๆ ด้วย โดย Facebook ได้แนะนำให้แบ่งวิดีโอออกมาเป็น อิริยาบถ (Action) สำคัญเพื่อความกระชับ ได้ใจความ
ที่มา Facebook
และสุดท้ายสำหรับการออกแบบโฆษณา Facebook ก็ได้มีการเน้นย้ำว่า ควรกำหนดขนาดให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ข้อความล้น หรือ ภาพหลุดขอบออกไป และนอกจากนี้ยังแนะนำการ ใส่ Call to Action เพื่อเป็นแนวทางให้ลูกค้ารู้ว่าต้องทำอะไรต่อ อีกด้วย
4. “Paid Online Event” ฟีเจอร์ที่คุณสามารถทำให้กลายเป็นช่องทางทำเงินได้
ในช่วงวิกฤติ COVID – 19 หลาย ๆ คนน่าจะได้รับผลกระทบไปไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะกับธุรกิจด้านอีเวนท์ที่คาดว่าจะเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด
ในวันนี้ Facebook ก็ได้เห็นถึงปัญหา และได้ทำการสร้างช่องทางใหม่ในการสร้างรายได้ขึ้นมา ซึ่งมีชื่อว่า “Paid Online Event” โดยฟีเจอร์นี้จะเปิดโอกาสให้เหล่าธุรกิจอีเวนท์ หรือ ครีเอเตอร์ได้จัดทำกิจกรรมออนไลน์ ที่สามารถระบุราคา โปรโมต และ กำหนดช่องทางการชำระค่าเข้าชมได้ผ่านการ LIVE บน Facebook
ที่มา Facebook
โดยฟีเจอร์นี้ทาง Facebook ก็ระบุด้วยอีกว่ายังไม่มีแผนที่จะทำการเก็บค่าบริการในการจัดกิจกรรม ซึ่งเป้าหมายก็คาดว่าจะเป็นการทำเพื่อเพิ่มช่องทางการหารายได้ในสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้
อย่างไรก็ตามฟีเจอร์นี้ยังคงใช้ได้เพียงแค่ในบางประเทศเท่านั้น และในประเทศไทยของเรานั้นก็ยังไม่สามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรข่าวนี้ก็เรียกได้ว่าน่าสนใจ และ จำเป็น ต่อหลาย ๆ คนที่ควรรู้ไว้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับไอเดียในการหารายได้ในอนาคต
5. “Group” กำลังจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ! เมื่อ Facebook กำลังปรับให้ Group กลายเป็นช่องทางที่สำคัญมากขึ้น
หลายคนคงจะเริ่มเห็นข่าวคราวกันมาบ้างว่า Facebook นั้นเริ่มให้ความสำคัญกับ Group มากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น การปรับให้โพสต์จากใน Group แสดงผลบน Feed มากขึ้น ซึ่งในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา Facebook ก็ได้มีการเปิดเผนการอัปเดตต่าง ๆ ที่จะทำให้ Group เป็นช่องทางที่สำคัญขึ้นในการทำการตลาดในอนาคต โดยการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจเราได้รวบรวมเอาไว้ดังนี้ครับ
ที่มา Adespresso
Facebook กับการเปิดโอกาสให้ Sponsored Post ใน Group ได้แล้ว
อัปเดตแรกของ Facebook Group นี้คือการที่แอดมินของ Group สามารถทำงานร่วมกับแบรนด์ หรือ นักโฆษณาต่าง ๆ ในการโพสต์ “Sponsored Post” ได้แล้ว ซึ่งนับว่าน่าสนใจมาก ๆ เพราะ Group มักจะเป็นศูนย์รวมของคนที่สนใจในเรื่องนั้น ๆ โดยเฉพาะอยู่แล้ว ซึ่งทำให้การเปิดโอกาสให้โพสต์โฆษณาได้ ใน Group จะทำให้แบรนด์เข้าถึงลูกค้าได้อย่างมั่นใจว่า จะเข้าถึงเป้าหมายที่มีโอกาสกลายเป็นลูกค้าได้สูงแน่ ๆ
ข้อมูลเชิงลึก (Insight) ที่สามารถดูได้ในระดับ “โพสต์” แล้ว
นอกเหนือจากการเปิดโอกาสให้โพสต์ในรูปแบบ “Sponsored Post” แล้ว Facebook ยังทำการทดลอง (อย่างเป็นทางการ) ให้เราสามารถดูข้อมูลเชิงลึก (Insight) ของโพสต์ที่เราโพสต์ใน Group ได้แล้ว
โดยข้อมูลที่สามารถดูได้ ก็มีตั้งแต่สถิติการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ (Engagement) ที่มีต่อโพสต์ที่เราโพสต์เอาไว้ใน Group ซึ่งไม่ได้มีแค่เพียงการคอมเมนต์, ไลก์ หรือ แชร์ เท่านั้น แต่ยังรวมทั้งข้อมูลที่สำคัญอย่าง การคลิกดูรูปภาพ (Photo View), ซ่อนโพสต์ (Post Hide) และ ผู้ใช้ที่แอคทีฟ (Active Member)
สำหรับการทดลองครั้งนี้ที่มีการเพิ่มข้อมูลเชิงลึกให้เราสามารถดูได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้การทำการตลาดใน Group สามารถวัดผล และวิเคราะห์ได้ละเอียดขึ้น เช่น การดู Photo View ว่ารูปไหนที่มีผู้ใช้ใน Group ของเราดูมากที่สุด เพื่อที่จะนำไปใช้เป็นแนวทางในการออกแบบรูปโฆษณา เป็นต้น
อย่างไรก็ตามในส่วนของข้อมูลเชิงลึกนี้ ยังอยู่ในขั้นที่ Facebook ทำการทดลองเท่านั้นแต่ก็คาดว่าจะกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนพลาดไม่ได้
ทั้งนี้สำหรับ Reels ยังมีแค่การทดลองให้ใช้ในบางประเทศเท่านั้นแต่ก็นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่เราควรจะติดตามเอาไว้ โดยเฉพาะกับกระแสในแง่ลบของ Tiktok ที่ทำให้หลาย ๆ แบรนด์อาจหันมาใช้ Reels กันมากขึ้น
พิเศษ ! “Reels” ฟีเจอร์ใหม่ที่ Facebook เปิดตัวเพื่อมาไฟท์กับ Tiktok ผ่าน Instagram
จากกระแสความนิยมของ Tiktok ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกซึ่งรวมทั้งประเทศไทย ทำให้ Facebook ได้มีการวางแผนจะปล่อยฟีเจอร์ใหม่ของ Instagram ที่ชื่อว่า “Reels”
โดย “Reels” จะเป็นฟีเจอร์ที่มีไว้สำหรับสร้างคอนเทนต์วิดีโอสั้น ๆ ไม่เกิน 15 วินาที พร้อมเสียง และ เครื่องมือต่าง ๆ ที่จะช่วยให้สามารถสร้างคอนเทนต์วิดีโอได้น่าสนใจ โดยผู้ใช้สามารถแชร์ออกไปในหน้า Feed ของ Instagram และนอกจากนี้สำหรับใครที่มีบัญชีเป็นสาธารณะ (Public Account) ก็ยังสามารถโปรโมตวิดีโอผ่านช่องทางใหม่ในหน้าค้นหา (Explore) ด้วยเช่นกัน
ที่มา Facebook
โดยฟีเจอร์ Reels ก็มีเครื่องมือให้ใช้อยู่หลากหลายอันด้วยกัน ซึ่งในปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด 5 อย่างได้แก่
-
- “Audio” ที่เราสามารถค้นหาเพลงจากคลังของ Instagram หรือ สร้างเสียงของตัวเองขึ้นมาได้ โดยสำหรับเสียงที่เราสร้างขึ้นมา ผู้อื่นจะสามารถนำไปใช้โดยระบุว่ามาจากเราได้ เพื่อเพิ่มการกระจายผลงานของเราที่มากขึ้น
- “AR Effect” ตัวเลือก Effect ต่าง ๆ ที่เราสามารถนำไปใช้ประกอบกับการถ่ายวิดีโอของเราได้ และเรายังสามารถออกแบบขึ้นมาเองได้ด้วยเช่นกัน
- “Timer and Countdown” เครื่องมือในการช่วยให้เรานับถอยหลังการถ่ายวิดีโอไว้ได้ เพื่อให้เหมาะกับการใช้สร้างคอนเทนต์วิดีโอด้วยตัวเอง
- “Align” เครื่องมือที่เป็นตัวช่วยในการถ่ายวิดีโอหลาย ๆ อันอย่างไร้รอยต่อ
- “Speed” เครื่องมือในการเลือกเพิ่ม หรือ ลดความเร็วในบางช่วงของเพลง หรือ วิดีโอที่เราทำการเลือกเอาไว้ได้
ทั้งนี้สำหรับ Reels ยังมีแค่การทดลองให้ใช้ในบางประเทศเท่านั้นแต่ก็นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่เราควรจะติดตามเอาไว้ โดยเฉพาะกับกระแสในแง่ลบของ Tiktok ที่ทำให้หลาย ๆ แบรนด์อาจหันมาใช้ Reels กันมากขึ้น
ที่มา The Verge, Techcrunch และ Facebook