เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับช่วงเวลาสองเดือนที่ผ่านมา หลาย ๆ คนคงจะยุ่งกันมากจนอาจจะไม่มีเวลาที่จะอัปเดตการเปลี่ยนแปลงในโลกออนไลน์ และหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่เราจะพลาดการอัปเดตไม่ได้เลย คือ การเปลี่ยนแปลงของ Facebook
โดยหากใครที่มีการทำการตลาดบน Facebook แล้วเริ่มสงสัยว่าตัวเราพลาดอะไรไปหรือเปล่า ? ไม่ต้องห่วงครับ เพราะวันนี้ผมจะมาสรุปสิ่งที่น่าสนใจ ทั้งการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ และการเปลี่ยนแปลงด้านอัลกอริทึมใน Facebook กัน
การอัปเดตต่าง ๆ จะเป็นอย่างไร ? สามารถติดตามอ่านกันได้ตามลิสต์ (รวมอัปเดต Facebook ในเดือนต่าง ๆ ) และ บทความด้านล่าง (การเปลี่ยนแปลงประจำเดือนพฤษภาคม)
-
- Update !! 5 การเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจใน Facebook (ประจำเดือน กรกฎาคม 2020)
- Update !! สรุปการเปลี่ยนแปลงของ Facebook ที่น่าสนใจ (ประจำเดือน สิงหาคม 2020)
- Update !! สรุปการเปลี่ยนแปลงและข่าวสารที่น่าสนใจบน Facebook (ประจำเดือน ก.ย. 2020)
- Update !! สรุปการเปลี่ยนแปลงและข่าวสารที่น่าสนใจบน Facebook (ประจำเดือน พ.ย. 2020)
5 การเปลี่ยนแปลงของ Facebook ในเดือน พฤษภาคม 2020
เรามาเริ่มกันที่การสรุปข่าวสารการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ของ Facebook ที่น่าสนใจกันครับ โดยเราจะมาเริ่มกันเลยที่ข่าวแรกนั่นคือ
การเปลี่ยนแปลงข้อที่ 1 : เลื่อนการจำกัดจำนวนโฆษณา !
คงเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วใช่ไหมครับ กับข่าวที่ Facebook ได้ประกาศออกมาว่า
ทาง Facebook จะมีนโยบายจำกัดจำนวนการโฆษณาของแต่ละเพจ ด้วยจุดประสงค์ที่ต้องการจะลดจำนวนโฆษณาที่ผู้โฆษณาแต่ละคนไม่ให้ล้นจนเกินไป
ซึ่งนี่คงจะเป็นข่าวใหญ่ที่หลาย ๆ คนสนใจกันแน่นอนครับ โดยล่าสุดทาง Facebook ได้มีการประกาศออกมาแล้วว่า
เลื่อนครับ ! จากเดิมที่วางแผนว่านโยบายนี้จะมีการกำหนดใช้ในปี 2020 นี้ ล่าสุดมีข้อสรุปออกมาแล้วครับว่าจะเลื่อนไปเป็นภายในปี 2021 แทน
นี่นับเป็นข่าวดีของนักโฆษณาหลาย ๆ คนใช่ไหมครับ โดยทาง Facebook ได้มีการระบุเหตุผลออกมาว่า การเลื่อนครั้งนี้มีขึ้นเพื่อเป็นการให้เวลาเหล่านักโฆษณาได้เตรียมตัวกันมากขึ้น ปรับตัวปรับจำนวนของการโฆษณาให้พร้อมก่อนที่จะเริ่มมีการบังคับใช้นั่นเอง
หลายคนที่อาจจะไม่ได้ติดตามข่าวนี้ในตอนแรก อาจจะสงสัยกันใช่ไหมล่ะครับ ว่าเค้าทำอย่างนี้ทำไม หรือ Facebook จะใจร้ายกับเราอีกแล้ว ?
สำหรับเหตุผลของข้อบังคับนี้ มีอยู่ว่าทาง Facebook ได้มองเห็นถึงปัญหา ที่จำนวนโฆษณาในแต่ละเพจมีเยอะจนเกินไป จนทำให้ประสิทธิภาพของการโฆษณาไม่ดีเท่าที่ควร
เพราะจำนวนโฆษณาที่ล้นจนเกินไปนั่นเองที่ทำให้โฆษณาบางตัวออกจาก ช่วงการเรียนรู้ (Learning Phase) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ตัวระบบจะทำการศึกษาโฆษณาของเรา และวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ เช่น ผู้ชมที่ใช่ จุดหมายที่ถูกต้อง เพื่อให้โฆษณาแสดงผลออกมาได้มีประสิทธิภาพที่สุด
ผลจากการออกจากช่องการเรียนรู้นี้ทั้งที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ทำให้ไม่ทันจะได้ทำอะไร โฆษณาของเราก็ออกไปทำให้ประสิทธิภาพไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งทาง Facebook ได้ให้เหตุผลว่านี่จะทำให้งบประมาณที่นักโฆษณาจ่ายไปไม่คุ้มค่าครับ
ที่มา Facebook for Developer
แต่ก็ไม่ใช่ว่า Facebook จะประกาศข้อบังคับออกมาโพล่ง ๆ แบบไม่มีทางเลือก หรือ ตัวช่วยอะไรให้เรานะครับ เพราะทาง Facebook ก็ได้นำเสนอเครื่องมือที่เรียกว่า Ad Volume API สำหรับนักโฆษณาที่มีโฆษณาในมือจำนวนมาก ช่วยให้สามารถจัดการ และ ติดตามผลลัพธ์ของโฆษณาได้ เช่น เรื่องที่ฟังดูเหมือนจะง่าย ๆ แต่นักโฆษณาต้องส่ายหน้า อย่างการแจ้งจำนวนโฆษณาที่กำลังมีการแสดงผลอยู่นั่นเอง
การเปลี่ยนแปลงข้อที่ 2 : Instagram เปิดโอกาสให้เจ้าของแอพพลิเคชันสามารถโฆษณาพร้อมปุ่มติดตั้งผ่าน Branded Content Ads แล้ว
ที่มา revealbot.com
สำหรับแบรนด์ไหนที่ทำการตลาดบน IG (Instagram หรือ อินสตาแกรม) และมีแอพพลิเคชั่นที่อยากให้ลูกค้ากดติดตั้งจากโฆษณานั้นได้เลย ข่าวดีของพวกเรามาแล้วครับ เพราะ Facebook เพิ่งทำการประกาศออกมาว่าแล้วสำหรับ ครั้งแรกบน IG ที่จะมีตัวเลือกให้เราโฆษณาแอพพลิเคชั่นพร้อมตัวเลือกให้ติดตั้งผ่าน Branded Content Ads
การเปลี่ยนแปลงข้อที่ 3 : การบริหารงบโฆษณาในระดับแคมเปญ (Campaign Budget Optimization หรือ CBO) จะไม่ถูกบังคับใช้แล้ว
ข่าวต่อมาครับ เป็นข่าวสำหรับนักโฆษณาบน Facebook เช่นกัน ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยินหรือได้ใช้กันมาแล้วกับเครื่องมือช่วยบริหารจัดการงบโฆษณาในระดับแคมเปญที่เรียกว่า CBO ที่ย่อมาจาก Campaign Budget Optimization ซึ่งทาง Facebook เพิ่งมีการประกาศไม่นานมานี้ว่าตัวเครื่องมือตัวนี้จะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องบังคับใช้อีกต่อไป
ที่มา medium.com
หลายคนอ่านแล้วคงจะสงสัยใช่ไหมครับ ว่า CBO ผิดอะไร ? CBO จะโดนเทหรอ? คำตอบคือไม่ครับ ทาง Facebook แค่มีการปรับเปลี่ยนไม่บังคับใช้ CBO อีกต่อไปสำหรับคนที่จะทำโฆษณา ซึ่งเหตุผลครั้งนี้ก็มีอยู่ว่าทาง Facebook ได้พบว่ามันดันไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลเท่าไหร่ในการใช้งาน และมีปัญหาด้านความยืดหยุ่นในบางกรณีเท่านั้นเอง
ซึ่งหากใครกำลังกลัวว่าจะอดใช้งาน CBO แล้วหรอ ? ไม่ใช่อย่างนั้นครับ เพราะเครื่องมือสุดพิเศษตัวนี้ ที่ช่วยให้เราสามารถจัดการงบประมาณในการทำโฆษณา โดยการพึ่งพาอัลกอริทึมของ Facebook จะยังมีให้เราได้ใช้งานกันเช่นเดิมครับ
และไม่ต้องเป็นห่วงไปครับ เพราะสำหรับเจ้าของบัญชีไหน ที่เคยถูกบังคับให้ใช้ CBO การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะไม่มีผลกระทบใด ๆ ให้แคมเปญในปัจจุบันครับ
การเปลี่ยนแปลงข้อที่ 4 : ไลฟ์สดบน Facebook แบบเฉพาะเสียง (Audio Only) ได้แล้ว !
ที่มา Facebook
ที่ผ่านมา LIVE Streaming หรือการไลฟ์สด เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ของ Facebook ที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา เราคงเห็นกันแล้วว่าแต่ละสื่อ หรือ แต่ละธุรกิจใช้การไลฟ์สดกันมากขึ้นขนาดไหน ซึ่งล่าสุด Facebook ได้มีการอัปเดตเครื่องมือเพิ่มเติมซึ่งมีความน่าสนใจอยู่ที่ “Audio Only” และ “Auto Caption” ครับ
โหมดเฉพาะเสียง (Audio Only) คือการไลฟ์สดบน Facebook รูปแบบใหม่ที่จะเข้ามาตอบสนองความนิยมของการฟังรายการเสียงบนโลกออนไลน์ (Podcast) ที่มากขึ้นในทุก ๆ ปี ด้วยการไลฟ์ที่มีเฉพาะเสียงเท่านั้น คล้ายกับรายการเสียงสั้น ๆ นั่นเอง
ระบบการขึ้นคำบรรยายอัตโนมัติ (Automatic Caption) ระบบที่จะทำให้ผู้ชมมีทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้น เนื่องจากทาง Facebook ได้รับรู้ถึงโอกาสจากการไลฟ์สดบน Facebook ที่ในปัจจุบันยังไม่เอื้อให้กับผู้ชมที่ชื่นชอบการอ่านคำบรรยายมากกว่าฟังเสียงทั้งที่จำนวนผู้เข้าใช้ที่ปิดเสียงระหว่างดูวิดีโอมีถึง 85 %
ทาง Facebook จึงตัดสินใจที่จะใส่ระบบนี้ขึ้นมา เพื่อทำให้ลูกค้าที่ประสบปัญหาดูไลฟ์สดในช่วงเวลานั้นไม่ได้ เพราะอาจจะติดเรื่องสถานที่ หรือ มีความถนันที่จะอ่านมากกว่าได้มีทางเลือกที่ดีขึ้น
ถึงแม้ว่ารายละเอียดต่าง ๆ จะยังไม่ออกมามากนัก แต่ก็นับว่าเป็นการอัปเดตที่น่าจับตามองอย่างมาก ทั้งประโยชน์ที่พวกเราจะได้รับ และกับวิธีที่ Facebook จะจัดการกับปัญหาต่าง ๆ อย่างเสียงพื้นหลัง หรือ เสียงผู้พูดฮึมฮัม รวมทั้งภาษาไทยจะมีให้เราใช้ไหม เราต้องติดตามกันต่อไปครับ
ที่มา 3playmedia.com
การเปลี่ยนแปลงข้อที่ 5 : Messenger Desktop ให้เราใช้งานระบบส่งข้อความของ Facebook บนจอที่ใหญ่ขึ้น
หลังจากที่เราได้เห็นกันไปแล้วกับโปรแกรมสื่อสารวิดีโอออนไลน์ต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วง COVID – 19 ทั้ง Zoom และ Microsoft Team
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า Facebook ก็ได้มีการอัปเดตในด้านนี้เช่นเดียวกัน โดยเป็นการอัปเดตของระบบส่งข้อความ (Messenger) ที่ ณ ตอนนี้มีแอพพลิเคชั่นให้โหลดสำหรับคอมพิวเตอร์กันแล้ว
Messenger สำหรับคอมพิวเตอร์นี้มีดียังไง ? แอพพลิเคชันนี้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้งานที่สะดวก ทดแทนการใช้งานแบบเดิมที่เราจะต้องเข้าไปใช้งานบนบราวเซอร์ นอกจากนั้นแล้ว เรายังสามารถตั้งกลุ่มสนทนา หรือสื่อสารด้วยวิดีโอเป็นกลุ่มได้ ซึ่งก็เป็นไปตามเป้าหมายของ Facebook เลยครับที่อยากจะให้ทุกคน “เชื่อมต่อกันและกันมากขึ้น”
นับว่าเป็นอัปเดตที่น่าสนใจมากครับ สำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ โดยเฉพาะในช่วงเวลา COVID – 19 ที่การสื่อสารออนไลน์เริ่มมีความสำคัญ และ มีการแข่งขันที่มากขึ้น ซึ่งเราก็ต้องมาติดตาามกันต่อไปครับว่าแบรนด์ไหน จะมีการขยับตัวยังไงกับการแข่งขันที่รุนแรงอย่างนี้
ที่มา messenger.com
อัลกอริทึมที่เปลี่ยนไปในปี 2020 ที่คุณอาจจะยังไม่รู้
สำหรับพวกเราที่เป็นนักการตลาด หรือ คอนเทนต์ครีเอเตอร์คงเป็นที่รู้ดีกันครับว่า
การจะทำการตลาดบน Facebook สิ่งที่สำคัญสุด ๆ คือการเข้าใจอัลกอริทึมในการแสดงผลของมัน
ซึ่งในปี 2020 นี้ Facebook ได้ทำการเปลี่ยนอัลกอริทึมในการแสดงผลของโฆษณา หรือ โพสต์ต่าง ๆ ของแบรนด์ โดยจะสังเกตได้จากผลลัพธ์ในการทำการตลาดบน Facebook ที่ไม่เหมือนเดิมตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยสำหรับใครที่ยังไม่รู้ เดี๋ยวเรามาดูกันดีกว่าครับว่ามีอะไรที่เปลี่ยนไปบ้าง
Facebook ได้มีการปรับอัลกอริทึมให้แสดงสิ่งที่ผู้ใช้งานมีโอกาสจะมีปฏิสัมพันธ์ในแง่บวก เพื่อให้ทุกสิ่งที่แสดงออกมามีความหมายต่อผู้ใช้งานนั้น ๆ
โดยสิ่งที่อัลกอริทึมของ Facebook จะใช้เป็นเกณฑ์ในการแสดงผลโฆษณาจะขึ้นอยู่กับ 4 ปัจจัยต่อไปนี้ครับ
ที่มา tinuiti.com
คลังคอนเทนต์และโฆษณาที่จะขึ้นมาแสดงแก่ผู้ใช้งาน (Inventory)
นี่คือสิ่งแรกที่อัลกอริทึมของ Facebook จะทำการพิจารณา ซึ่งมันก็คือจำนวนของโพสต์ และ โฆษณาทุกอย่างที่จะถูกแสดงบน New Feeds ต่อผู้ใช้งานไม่ว่าจะเป็นจากเพื่อน หรือจากสื่อต่าง ๆ นั่นเอง
สัญญาณบอกคุณภาพคอนเทนต์ (Signal)
นี่คือสิ่งเดียวที่เราสามารถควบคุมได้ มันคือสัญญาณที่จะบอก Facebook ว่าคอนเทนต์หรือโฆษณาของเรานั้นมีความหมาย และ มีความสำคัญต่อผู้ใช้งานอย่างไร โดยสิ่งที่ Facebook จะเก็บข้อมูลไปแล้วทำความเข้าใจคอนเทนต์ และโฆษณาของเราได้ โดยประกอบไปด้วย รูปแบบของคอนเทนต์ ผู้สร้างเป็นใคร ? อายุของโฆษณามีเท่าไหร่ ? และเป้าหมายเพื่ออะไร ? เป็นต้น
โดยสัญญาณบอกคุณภาพคอนเทนต์ (Signal) ก็สามารถเป็นผลตอบรับที่ได้จากผู้ใช้งานคนอื่น ๆ เช่นเดียวกัน ดังนั้นถ้าคอนเทนต์ของเรามีจำนวน การชื่นชอบ ส่งต่อ หรือ แสดงความคิดเห็น ที่เยอะก็จะเป็นอีกสัญญาณนึงที่บอก Facebook ให้แสดงผลคอนเทนต์เราได้ดีขึ้น
การคาดคะเนการตอบสนองของผู้ใช้งาน (Predictions)
มันคือการคาดคะเนของ Facebook จากการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้งานว่าจะมีการตอบสนองต่อคอนเทนต์ หรือ โฆษณานั้น ๆ อย่างไร จะเป็นการตอบสนองในแง่บวกหรือไม่ โดยจะดูจากประวัติการกดชื่นชอบ ส่งต่อ แสดงความคิดเห็น หรือการกระทำต่าง ๆ ของผู้ใช้บน Facebook
ที่มา tinuiti.com
คะแนนประเมิณคุณภาพ (Score)
คะแนนตัวนี้จะเป็นตัวเลขที่ทาง Facebook จะทำการวิเคราะห์จากปัจจัยที่ถูกพูดถึงด้านบนออกมาเป็นตัวเลข ซึ่งจะเป็นคะแนนที่บอกว่าตัวคอนเทนต์หรือโฆษณาของเราตัวนี้จะมีการตอบสนองจากผู้ใช้งานในแง่บวกหรือไม่
แล้วเราจะทำยังไง ?
สำหรับการรับมืออัลกอริทึมที่เปลี่ยนไป Tinuiti บริษัทการตลาดออนไลน์ระดับสากลชื่อดังที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นิวยอร์ก ได้บอกเอาไว้ว่ามีอยู่ 5 อย่างด้วยกันครับนั่นคือ
สร้างคอนเทนต์ที่เปิดประเด็นให้มีการพูดคุยกัน
ที่มา socialmediaexaminer.com
Facebook ชื่นชอบคอนเทนต์ที่ทำให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้งานมากเลยครับ โดยหากคอนเทนต์ของเรามีการกระตุ้นให้ลูกค้าแสดงความคิดเห็น กดชื่นชอบ หรือส่งต่อ ก็จะทำให้โพสต์นั้น ๆ มีระสิทธิภาพมากขึ้น
โฟกัสที่เป้าหมาย
อย่างหนึ่งที่เราต้องรู้คือเราต้องการจะสื่อสารกับใครเป็นหลัก แล้วผลิตคอนเทนต์ที่โฟกัสพวกเค้าเหล่านั้น ซึ่งจะทำให้โอกาสที่กลุ่มเป้าหมายของเราจะมามีส่วนร่วม (Engagement) กับโพสต์มากขึ้น
ตัวอย่างเช่น หากเราเป็นบริษัทที่ขายเครื่องเล่นแผ่นเสียง ที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ฟังเพลงแนวแจ๊ส เราก็ควรทำคอนเทนต์ที่ไม่ได้มีเนื้อหาเกี่ยวกับเกี่ยวกับดนตรีที่แมส ๆ แต่โฟกัสไปที่แนวเพลงที่ลูกค้าเราฟังจะดีกว่า
หยิบคอนเทนต์เดิมที่ปังมาต่อยอด
ที่มา tinuiti.com
บางคอนเทนต์ที่เราเห็นว่าได้ผลลัพธ์ที่ดีในการโพสต์แบบไม่เสียเงิน (Organic) เราสามารถหยิบโอกาสตรงนี้มาต่อยอดได้ ด้วยการนำคอนเทนต์เหล่านั้นมาโปรโมทโพสต์ หรือ Boost ซึ่งคอนเทนต์เหล่านี้เรามั่นใจได้ว่าเป็นคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพ และมีโอกาสที่ถ้าเรายิ่งใช้เงินในการโปรโมทโพสต์จะได้ผลลัพธ์ที่ดีแน่นอน
ในทางตรงกันข้ามหากเราเห็นว่าคอนเทนต์ไหนที่มีผลตอบรับจากผู้ใช้งานน้อยนั่นก็แสดงว่าเนื้อหาอาจจะไม่เวิร์ค ซึ่งถ้าเรายิ่งกดโปรโมทโพสต์ไปก็จะทำให้เงินจมไปกับค่าต้นทุนต่อหนึ่งคลิก (CPCs) ที่สูงแต่ผลลัพธ์ต่ำ
หลีกเลี่ยงการใช้ข้อความพาดหัวเพื่อเรียกความสนใจ โดยปราศจากคุณภาพคอนเทนต์
ที่มา wishpond.com
รู้สึกคุ้นเคยกันไหมครับ กับคอนเทนต์ที่ขึ้นด้วยคำประเภทคลิกเบตอย่าง “แชร์ถ้าคุณ…” หรือ ประเภทที่ใช้คำกระตุ้นให้เกิดการการมีส่วนร่วมของลูกค้ากันอย่างโฉ่งฉ่าง แบบ “ช่วยกดไลค์ กดแชร์ ให้….ด้วย” ซึ่งตอนนี้ Facebook ไม่ค่อยจะถูกใจการใช้คำเหล่านี้เท่าไหร่แล้วครับ
ที่เราควรทำไม่ใช่การใช้คำเหล่านั้นเพื่อกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมครับ แต่คือการทำเนื้อหาคอนเทนต์ที่คนจะแชร์ หรือ คอมเมนต์กันโดยธรรมชาติ ซึ่ง Facebook จะชอบมาก ๆ เลยครับ
คอยตรวจสอบผลลัพธ์ (KPI) ของคอนเทนต์ที่เราลง
ที่มา tinuiti.com
การหมั่นเข้าไปดูผลลัพธ์ของคอนเทนต์ที่เราลงไป ด้วยการใช้ดูหน้าข้อมูลเชิงลึก (Facebook Insight) ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เราจะรู้ได้ครับว่าแต่ละคอนเทนต์ที่เราลงไปมีผลลัพธ์อย่างไรบ้าง ซึ่งสามารถใช้เป็นแนวทางในการสร้างคอนเทนต์ใหม่ ๆ ได้ครับ
ที่มา
https://adespresso.com/blog/top-updates-facebook-monthly-need-know-now/
https://marketingland.com/facebook-to-limit-number-of-ads-pages-can-run-simultaneously-270449
https://revealbot.com/blog/facebook-update-algorithm-changes-news/
https://tinuiti.com/blog/paid-social/facebook-algorithm/