Do & Don’t สิ่งที่คุณควรรู้ก่อนเริ่มทำ Facebook Ad

Do & Don’t สิ่งที่คุณควรรู้ก่อนเริ่มทำ Facebook Ad

ความท้าทายในการทำธุรกิจยุคดิจิทัล คือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาและเทรนด์การตลาดที่ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อซื้อขายสินค้าและบริการ ซึ่งนักการตลาดและผู้ประกอบการทั้งหลาย ได้ให้ความสำคัญในการทำการตลาดแบบแบบดิจิทัลมากพอ ๆ กับการทำการตลาดแบบออฟไลน์ เพื่อมองหาโอกาสเติบโต และสร้างแบรนด์ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งการทำการตลาดผ่าน Facebook คือช่องทางที่แบรนด์ทั้งหลายใช้เพื่อทำโฆษณาและยังได้ผลตอบรับที่ดีมาโดยตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ผลสำรวจาก Word Stream ล่าสุดเผยว่า การทำโฆษณาผ่านช่องทาง Facebook นั้น มีอัตราการคลิก (Conversion Rate) อยู่ที่ประมาณ 9.21% โดยเฉลี่ย
ภาพจาก WordStream

ผลสำรวจาก Word Stream ล่าสุดเผยว่า การทำโฆษณาผ่านช่องทาง Facebook นั้น มีอัตราการคลิก (Conversion Rate) อยู่ที่ประมาณ 9.21% โดยเฉลี่ย ซึ่งมีทั้งแบรนด์รักสุขภาพ การศึกษา ธุรกิจความงาม ไปจนถึงธุรกิจ B2B ด้วยกันเอง ต่างใช้ Facebook Ad เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการ
นอกจากนี้ผลสำรวจจาก Statista พบว่าในประเทศไทยมีผู้ใช้งาน Facebook มากถึง 50 ล้านแอคเคาท์ และมีแนวโน้มว่าจะเติบโตอีกเรื่อย ๆ ในอนาคต ดังนั้นการทำ Facebook Ad จึงเป็นการทำการตลาดที่คุ้มค่า และได้ผลกำไรอย่างแน่นอน ซึ่งแบรนด์ไม่เพียงแค่ได้ประโยชน์จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นเพียงเท่านั้น แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการสร้าง Brand Awareness และ Engagement บนแพลตฟอร์มเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแบรนด์และลูกค้าด้วยเช่นกัน
แต่คุณแน่ใจหรือไม่ ว่าคุณรู้ลึก รู้จริงและเข้าใจถึงประโยชน์ที่คุณจะได้รับและวิธีการทำ Facebook Ad แล้วอย่างแท้จริง ?

The Do’s สิ่งที่ควรทำ

1.รู้จักกลุ่มเป้าหมายตัวจริงของแบรนด์

 

รู้จักกลุ่มเป้าหมายตัวจริงของแบรนด์

ก่อนที่คุณจะเริ่มสร้างโฆษณาคุณจะต้องทราบก่อนว่าใครคือกลุ่มเป้าหมายที่จะมาเป็นลูกค้าของคุณจริง ๆ ซึ่งแบรนด์จะต้องศึกษาพฤติกรรมการใช้ Facebook เช่น ช่วงเวลาที่กลุ่มเป้าหมายมัก Active Online เพื่อลงโฆษณาให้ถูกเวลา ที่อยู่อาศัยและลักษณะ Demographic เช่น ภาษาที่ใช้ เพศ และอายุ เพื่อทำการยิงโฆษณาให้ตรงกลุ่มมากที่สุด เพื่อไม่ให้การทำโฆษณานั้นเสียเวลา และงบประมาณมากเกินจำเป็น
หากคุณสนใจวิธีการค้นหาลูกค้าที่เหมาะสมกับแบรนด์ ลองอ่านบทความ การทำ Customer Persona เพื่อรู้จักตัวตนของลูกค้าคุณกันค่ะ

 

2. กราฟิกโดดเด่น และเน้นคุณภาพ

ในหนึ่งวัน เราเห็นโฆษณากันไปหลายพันโฆษณา ทั้งแบบที่เรารู้ตัวและไม่รู้ตัว ซึ่งการมองเห็นในแต่ละครั้งอาจใช้เวลาเพียง 2 – 3 วินาทีเท่านั้น ดังนั้นการออกแบบรูปภาพและวิดีโอโฆษณา จำเป็นต้องออแบบกราฟิกที่สามารถเรียกความสนใจจากผู้ชมได้ ซึ่งคุณอย่าลืมว่า ถึงแม้ว่าสินค้าและบริการของเรามีคุณภาพ แต่ขาดการโฆษณาที่ไม่สามารถดึงดูดสายตาจากกลุ่มเป้าหมายได้ นั่นหมายความว่า Ad ของเราไม่สามารถทำได้แม้แต่การสร้างการรับรู้แบรนด์ ดังนั้น การใช้ไอเดียเพื่อสร้างอารมณ์ขัน ใช้สีสันที่โดดเด่น หรือการสร้างวิดีโอคอนเทนต์ ที่เห็นแล้วสะดุดตา สามารถเรียกความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายได้ และอย่าลืมการออกแบบกราฟิกที่มีคุณภาพที่มีภาพคมชัดด้วยเช่นกัน

ตัวอย่าง Facebook Ad จากแบรนด์ Sephora
ภาพจาก: https://sproutsocial.com

ตัวอย่างแบรนด์ที่สามารถสร้างกราฟิกได้น่าสนใจคือ Sephora ที่ออกกแบบโฆษณาวิดีโอที่มาพร้อมกับสีสันสะดุดตาและโปรโมชันที่ไม่อาจปฏิเสธซึ่งผลลัพธ์จากการทำ Ad ตัวนี้ พบว่าแบรนด์มีเปอร์เซ็นต์ Click-Through Rate (CTR) เพิ่มขึ้น 41% แถมยังมี Engagement เพิ่มสูงขึ้นจาก Ad เดิม ๆ ที่เคยทำไปแล้ว

 

3. สร้าง Call-to-Action (CTA) ที่ชัดเจน

การทำ Facebook Ad นั้นผู้ทำโฆษณาสามารถใส่ Headline ได้ไม่เกิน 25 ตัวอักษร และใส่ข้อความได้ 90 ตัวอักษร ดังนั้นการออกแบบปุ่ม Call-to-Action ที่มีการสื่อสารที่ชัดเจน เห็นแล้วอยากคลิก ควรมีองค์ประกอบดังนี้
การใช้ Keyword ที่คุณต้องการนำเสนอแก่ลูกค้า คือกุญแจสำคัญในการคลิกโฆษณา
การใช้ข้อความที่น่าสนใจเพื่อเชิญชวนลูกค้า เช่น ซื้อวันนี้ลดอีก 25%
การใช้เทคนิคแจก Promo Code เพื่อลดราคาสินค้า และบริการเพิ่มขึ้น
การจำกัดสิทธิ และจำกัดเวลา

ตัวอย่าง Facebook Ad จาก Air Asia ที่มีการใช้ข้อความ “FREE SEAT” เพื่อดึงดูดความสนใจให้คนคลิกเข้ามาจองที่นั่ง
ภาพจาก: https://sproutsocial.com

ตัวอย่าง Facebook Ad จาก Air Asia ที่มีการใช้ข้อความ “FREE SEAT” เพื่อดึงดูดความสนใจให้คนคลิกเข้ามาจองที่นั่ง
นอกจากไอเดียเหล่านี้ ลองเข้าไปอ่านบทความ เทคนิคการสร้าง Call-to-Action เพื่อเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าอยากคลิกมากขึ้นได้เลยค่ะ

4. ทำ A/B Testing

การทำ A/B testing หรือที่เรียกอีกอย่างว่า Split Testing คือการทดสอบคอนเทนต์ หรือโฆษณาที่แตกต่างกัน 2 เวอร์ชันเพื่อทดลองว่าโฆษณาแบบไหนมีคนคลิกเข้ามาหรือได้ผลมากกว่ากัน ซึ่งการทำ A/B testing เป็นหนึ่งในวิธีการวัดผล เพื่อประเมิณความคุ้มค่าในการลงทุนงบประมาณในด้านการตลาดด้วยเช่นกัน ทำให้แบรนด์สามารถเลือกลงโฆษณาที่มีประสิทธิภาพมากกว่า และเป็นที่สนใจในตลาดมากกว่านอกจากนี้ การทำ A/B testing ยังช่วยให้การทำโฆษณามีคุณภาพมากยิ่งขึ้น เมื่อนักการตลาดรู้ว่าอะไรทำแล้วได้ผล หรือยังมีจุดไหนที่ต้องปรับปรุงเพิ่มเติม

ยกตัวอย่างเช่น คุณมีโฆษณาที่จะลง Facebook อยู่สองตัว คุณอาจจะสร้างความแตกต่างด้วยการ

  • เขียนหัวข้อต่างกัน
  • ใช้รูปภาพต่างกัน
  • เลือกทำภาพแบบเดี่ยว ๆ และเลือกทำภาพแบบ Carousel (การโพสต์ภาพหลาย ๆ ภาพในโพสต์เดียว)
  • การสร้าง Facebook Ad ด้วยการโพสต์รูปภาพ และการโพสต์วิดีโอ

5. ประเมิณ Ad ด้วยตัวชี้วัด ที่มีคุณภาพ

เมื่อแบรนด์มีการโพสต์ Ad ลงไปแล้ว แต่ไม่ทราบว่า Ad ตัวนั้น ๆ ได้ผลหรือไม่ และผลตอบแทนนั้นคุ้มค่ากับที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้หรือเปล่า คุณสามารถใช้เมนู Insight เพื่อวัดผลโฆษณาต่าง ๆ ที่ได้ยิงไปแล้ว อีกทั้งยังสามารถใช้เมนู Insight ตัวนี้มาเป็นตัวกำหนดทิศทางการทำการตลาดในอนาคตได้เช่นกัน ด้วยการเก็บข้อมูลเชิงลึกต่าง ๆ เช่น ยอด Engagement ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการลงโฆษณา และกลุ่มเป้าหมายที่เคยเข้ามาเยี่ยมเยียนเพจของเราบน Facebook

หากคุณสนใจ วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล Facebook Insight เพื่อวางแผนการตลาดออนไลน์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถภาพคลิกได้ ที่นี่

The Don’ts สิ่งที่ไม่ควรทำ

6. โฆษณามีความซับซ้อน

อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า ผู้เล่น Facebook หรือคนที่ได้เห็นโฆษณาโดยเฉลี่ยแล้ว อาจใช้เวลาเพียงแค่ 2- 3 วินาทีเท่านั้น ดังนั้นการทำโฆษณา ควรสร้างมาเพื่อจุดประสงค์เดียวเท่านั้น และสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งโฆษณาที่ควรปรับปรุง จะมีลักษณะดังนี้ค่ะ

  • หัวข้อยาวเกินไป
  • ข้อความไม่สามารถจับประเด็นได้ว่าต้องการนำเสนออะไร
  • ไม่มีชื่อแบรนด์ (ข้อนี้สำคัญมากต่อการสร้าง Brand Awareness)
  • กลุ่มเป้าหมายไม่ทราบว่าประโยชน์ที่จะได้รับจากสินค้าและบริการคืออะไร
ตัวอย่างโฆษณาที่ซับซ้อนเกินไป
ภาพจาก: https://taktical.co

ตัวอย่าง Facebook Ad ด้านบน หากใครเลื่อนผ่าน อาจจะสับสนได้ว่านี่คือโฆษณาอะไรกันแน่ เนื่องจากหัวข้อและข้อความที่ยาวจนเกินไป จนทำให้ผู้อ่านอาจจะหมดความสนใจไปเสียก่อน รวมทั้งรูปภาพที่นำเสนอก็ดูแน่นและไม่มีปุ่ม Call-to-Action อาจทำให้กลุ่มเป้าหมายหมดความสนใจ และมองข้าม Ad ของคุณ

7. ทุ่มงบโฆษณาเกินกว่าจำเป็น

 

การทำ Facebook Ad ให้ประสบความสำเร็จ ไม่จำเป็นต้องลงทุนจ่ายค่าโฆษณาจนเกินความพอดี แต่คุณควรค่อย ๆ ทดลองทำการตลาด เพื่อหาความเหมาะสมให้แก่ธุรกิจ โดยเฉพาะเมื่อคุณเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ ๆ
ตัวอย่างเช่น คุณอาจเริ่มจ่ายค่าโฆษณาวันละ 100 – 150 บาทก่อนเพื่อประเมิณว่าโฆษณาของคุณได้ผลตอบรับเป็นอย่างไร หลังจากนั้นคุณค่อย ๆ เพิ่มค่าโฆษณาให้สูงขึ้นเพื่อลดความเสี่ยง หากโฆษณาตัวนั้นไม่คุ้มค่า หรือไม่เป็นที่สนใจของตลาด

 

8. ไม่ติดตั้ง Facebook Pixel

Facebook Pixel คือการทำการตลาดโดยใช้เทคนิค Remarketing ซึ่งผู้ที่มี Facebook Page สามารถติดตั้ง Facebook Pixel บนหน้าเว็บไซต์เพือติดตามผู้ที่เข้ามาซื้อสินค้า และเยี่ยมชมเว็บไซต์มาก่อนหน้า และยิงโฆษณาไปยังหน้าฟีดของกลุ่มคนเหล่านี้ ซึ่งการติดตั้ง Pixel จะช่วยให้แบรนด์ได้ฐานลูกค้าเพิ่มเติม และกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ เป็นกลุ่มคนที่มีความสนใจในสินค้าและบริการของคุณเป็นทุนเดิม ดังนั้นการเน้นย้ำโฆษณา เพื่อกระตุ้นกลุ่มเป้าหมายอีกครั้ง จะเป็นการเพิ่มโอกาสซื้อขายได้อีกทางหนึ่งค่ะ

หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง Pixel ลองอ่านบทความ 4 เทคนิค Remarketing เพื่อเพิ่มยอดขายออนไลน์บน Facebook เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายให้ได้ผลดียิ่งขึ้น และเรียนรู้วิธีติดตั้ง Facebook Pixel

9. หยุดโพสต์บนหน้าเพจ

การโพสต์คอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ลูกค้าเกิดการจดจำแบรนด์ของเราได้แบบธรรมชาติ และยังเป็นการสร้าง Engagement ให้แก่ลูกค้าได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่านักการตลาดและผู้ประกอบการจะทำ Facebook Ad อยู่แล้วก็ตาม แต่การทำคอนเทนต์แบบออร์แกนิค คือวิธีแบบธรรมชาติที่จะทำให้คุณมีผู้ติดตามมากขึ้น และทำให้หน้าเพจดูมีการอัปเดตอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นผลดีในการสร้างแบรนด์ให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ดังนั้น คุณควรเริ่มต้นสร้างคอนเทนต์และวางแผนโพสต์คอนเทนต์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้หน้าเพจมีการเคลื่อนไหวและเป็นการทำการตลาดออนไลน์ ที่มีประสิทธิภาพจากการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพค่ะ

การสร้างคอนเทนต์ออร์แกนิค

10. ลืมตรวจเช็คความเรียบร้อย

บางครั้งจุดผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้คนไม่อยากกดคลิกเข้ามาในโฆษณาของคุณก็เป็นได้ ดังนั้นก่อนที่คุณจะลงโฆษณาหรือคอนเทนต์ใด ๆ ก็ตาม อย่าลืมตรวจสอบความเรียบร้อยทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการสะกดคำ การจัดเรียงข้อความ รูปภาพและรายละเอียดอื่น ๆ ค่ะ

สรุป
ก่อนเริ่มลงมือทำโฆษณาผ่าน Facebook สิ่งที่สำคัญสำหรับนักการตลาด และผู้ประกอบการควรพิจารณาและนำเทคนิคมาใช้ รวมไปถึงข้อควรระวังและสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่

1.)   รู้จักกลุ่มเป้าหมาย
2.)   กราฟิกโดดเด่น
3.)   ปุ่ม Call-to-Action ชัดเจน
4.)   ทำ A/B Testing
5.)   ประเมิณคุณภาพของโฆษณาด้วยการวัดผลที่มีคุณภาพ
6.)   โฆษณาสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา
7.)  ใช้งบประมาณเพื่อลงโฆษณาที่เหมาะสม
8.)   ติดตั้ง Facebook Pixel
9.)   โพสต์คอนเทนต์ออร์แกนิคอย่างสม่ำเสมอ
10.) ตรวจเช็คความเรียบร้อยก่อนลงโฆษณา

ข้อมูลจาก:

eclincher.com
www.statista.com
sproutsocial.com
taktical.co

เรียนสอบถาม คอนเทนต์นี้ คุณชอบไหมคะ

ความคิดเห็นของคุณมีความสำคัญกับเรา ขอบคุณนะคะ

Learn More

ทำความรู้จักกับ “Ranking Signal” เพื่อทำการตลาดให้ตอบโจทย์ Facebook Algorithm
Update !! สรุปการเปลี่ยนแปลงของ Facebook ที่น่าสนใจ (ประจำเดือน สิงหาคม 2020)