ในยุคนี้การทำโฆษณาให้มีประสิทธิภาพ และได้ยอดขายกลับมาตามเป้าหมายที่วางไว้ เริ่มเป็นเรื่องที่ซับซ้อน และ มีความท้าทายมากขึ้น โดยเฉพาะการทำโฆษณาผ่านช่องทาง Facebook เนื่องจากหลาย ๆ ปัจจัย เช่น การเปลี่ยนแปลงระบบ iOS14 ของ Apple และ ข้อจำกัดในการเก็บ Data และความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานบน Facebook ที่ทำให้ระบบการเก็บ Data และการวิเคราะห์ไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่เคยเป็น จึงทำให้การยิง Facebook Ads เป็นเรื่องที่ยากขึ้น
แต่อย่างไรก็ตามการทำธุรกิจผ่านช่องทาง Facebook ยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจากสถิติจาก sproutsocial เปิดเผยว่าการเติบโตของรายได้ที่มาจากการทำโฆษณาบน Facebook นั้นเพิ่มขึ้น 25% ต่อปี การทำโฆษณาบน Facebook จึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางหนึ่งที่หลายคนให้ความสนใจ เนื่องจากเป็นการทำโฆษณาบทแพลตฟอร์มที่เข้าถึงกลุ่มคนได้หลากหลาย สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน
ดังนั้น การออกแบบโฆษณาให้น่าสนใจ สามารถสร้างความประทับใจให้แก่ผู้พบเห็นได้ จากการสำรวจของ Facebook มีการจัดลำดับประเภทขององค์ประกอบของโฆษณาที่ทำให้เกิดยอด CTR หรือจำนวนคลิกที่ผู้ชมโฆษณาคลิกเข้าไปดูนั้น มาจากรูปภาพถึง 4.66% เป็นอันดับที่สองรองจาก status หรือข้อความบนโพสต์ที่ทำโฆษณา และ เลือกคลิกชมโฆษณาจากวีดีโอ 2.05%
นอกจากที่เราจะต้องออกแบบโฆษณาให้ตรงใจ หรือสร้างความประทับใจได้ให้กับผู้คนได้นั้น ตั้งแต่พบเห็นครั้งแรกได้แล้วนั้น การได้ยอดขายกลับมา จัดเป็นเรื่องท้าทายเป็นอย่างมาก ซึ่งลักษณะที่ดีของ Ads Design ที่ดีมีควรมีตัวอย่างดังต่อไปนี้:
- ดีไซน์สามารถดึงดูดความสนใจของผู้ที่อ่านได้
- บอกได้ว่าแบรนด์คุณต้องการจะนำเสนออะไร
- มี Call to Action ที่ชัดเจนเพื่อให้เกิด Conversion ที่จะทำไปสู่ยอดขาย
1.คำนึงถึงรูปแบบโฆษณาที่จะออกแบบ
สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึง คือ รูปแบบของการโฆษณาที่จะต้องใช้ ซึ่งในปัจจุบัน Facebook Ads มีทั้งหมด 8 รูปแบบ และ ในแต่ละรูปแบบถูกออกแบบมาสำหรับเป้าหมายทางการตลาดที่แตกต่างกันไป
รูปแบบของ Facebook Ads ประกอบไปด้วย
- Photo (รูปภาพ) :
การนำเสนอรูปภาพจัดเป็นรูปแบบพื้นฐาน เมื่อต้องการทำโฆษณา โดยคุณอาจจะเริ่มต้นออกแบบ Facebook Ads ในรูปแบบของ Single Image หรือภาพสี่เหลี่ยมจตุรัส โดยใส่หัวข้อโฆษณาสั้น ๆ แต่กระชับให้คนอ่านได้รู้
- Video (วีดีโอ) :
รูปแบบคล้ายกับ Photo แต่จะสามารถโชว์สินค้า และบริการของแบรนด์ได้อย่างเต็มรูปแบบ เนื่องจากมีการใช้ภาพเคลื่อนไหวในการนำเสนอ ทำให้ผู้ชมเห็นภาพ และเข้าใจการนำเสนอของสินค้านั้น ๆ เพิ่มมากขึ้น
- Stories (สตอรี่) :
เป็นดีไซน์ที่ได้ทั้งวิดีโอสั้น ๆ ไม่เกิน 15 วินาที และรูปภาพ จัดเป็นพื้นที่ที่สามารถสร้างความประทับใจผู้ชมในรูปแบบ Full-screen Experience ในการรับชมโฆณษา เป็นอีกวิธีที่สร้างความน่าสนใจให้กับสินค้า และแบรนด์ได้
- Messenger : (ปุ่มฟีเจอร์ Messenger)
โฆษณาที่นำเสนอสินค้า หรือแบรนด์ ในรูปแบบพาลูกค้าไปที่ Direct Message เพื่อแชทกับทางเพจโดยตรง ทำให้เพิ่มโอกาสการสร้างยอดขายให้กับสินค้าได้มากขึ้น
- Carousel (โฆษณาในรูปแบบเลื่อนดูภาพ และ วิดีโอได้เป็นเซ็ต ๆ ) :
การนำเสนอรูปภาพหรือวีดีโอ ไม่เกิน 10 รูป หรือ วีดีโอ สามารถแนบลิ้งก์ในแต่ละภาพหรือวีดีโอได้ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถเล่าเรื่องของสินค้าได้อย่างสร้างสรรค์
- Slideshow (สไลด์โชว์) :
เป็นรูปแบบกึ่งภาพ และ วีดีโอ ที่รวบรวมรูปภาพหลาย ๆ รูปเข้าด้วยกันอย่างง่าย ๆ ไม่ต้องลงทุนมาก แต่ได้ผลลัพธ์ที่ดี เป็นรูปแบบที่สามาราถสร้าง Immersive experience หรือประสบการณ์ที่ดีการรับรู้โฆษณา ได้อย่างรวดเร็ว
- Collection:
การนำเสนอสินค้าในในแบบ Virtual Display Case เป็นอีกรูปแบบที่ดูเรียบง่ายง่าย ในการนำเสนอสินค้า แต่ทำให้ลูกค้าสามารถเลื่อนดูสินค้าไปมาได้มากกว่า การนำเสนอภาพเพียงภาพเดียว เหมาะสำหรับแบรนด์ที่มีสินค้าหลากหลายแบบ หรือ หลายโมเดลที่แตกต่างกันไป เช่น แบรนด์ขายเสื้อผ้า หรือแบรนด์รถยนต์ เป็นต้น
- Playables:
Interactive ads ที่สามารถให้เราเล่นเกมหรือใช้โปรแกรมก่อนดาวน์โหลด ซึ่งมีประสิทธิภาพในกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ โดยการทำโฆษณารูปแบบนี้สามารถสร้าง Immersive preview หรือการสร้างประสบการณ์ที่ดีในการรับรู้จากภาพ หรือวีดีโอตัวอย่างการทำงาน หรือลักษณะฟังก์ชั่นของสินค้า ในการทำโฆษณาประเภทนี้เหมาะสำหรับการโฆษณาเกม หรือแอปพลิเคชั่น
นอกจากนี้ ก่อนที่จะเริ่มออกแบบกระบวนการทำงานนั้น เราไปดูสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเกี่ยวกับรูปแบบโฆษณาส่งผลต่อการทำโฆษณาชิ้นนี้อย่างไรบ้าง หากต้องการความหลากหลายทางการนำเสนอ รวมทั้งการพิจารณาว่า ดีไซน์แบบ Carousel หรือ Collection ถึงจะตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมาย หรือ ถ้าจุดประสงค์คือการนำเสนอวิธีการใช้งานของสินค้านั้น การทำ Video หรือ Story จะทำให้สามารถนำเสนอได้ดีและทำให้ผู้ชมเห็นภาพมากขึ้น
จากภาพด้านล่าง เป็นกรณีศึกษาของ Henge Docks เราจะเห็นว่ารูปแบบของ Facebook Ads ที่แบรนด์ใช้ จะเป็นในรูปแบบของ การทำ Carousel โดยการนำเสนออย่างฉลาดที่จัดแยกรูปภาพโฆษณาออกเป็นสองรูป
การออกแบบโฆษณา สิ่งแรกที่ควรคำนึงถึงคือ รูปแบบที่ดีที่สุดสำหรับเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ ซึ่งในปัจจุบันนี้ รูปแบบโฆษณามีให้เลือกอย่างหลากหลาย ดังนั้นอย่าเพียงแต่เลือกที่จะใช้เพียงแค่รูปแบบเดียว เพราะจะทำให้คอนเทนต์ของคุณขาดความสร้างสรรค์ได้นะคะ
2. ตำแหน่งที่จัดวางของโฆษณา
การที่จะเลือกตำแหน่งการวางโฆษณาที่ดีที่สุดสำหรับจุดประสงค์ที่ต้องการนั้น ควรจะรู้จักก่อนคือแต่ละรูปแบบของพื้นที่จัดวางมีอะไรบ้าง และจะเลือกใช้ให้เกิดประสิทธิภาพได้อย่างไร
- Desktop News Feed :
การนำเสนอโฆษณาผ่าน Feed หน้าแรกของผู้ใช้ที่เข้าถึงเว็บไซต์หลักจากทำการ Log in ซึ่งจัดเป็นแบบที่ดี และมีประสิทธิภาพ สำหรับการสร้าง Engagement การสร้างยอดขาย และ Leads หรือโอกาสที่ยอดขายจะเกิดขึ้น
- Desktop Right Column :
เป็นรูปแบบโฆษณาที่ปรากฏอยู่ในฝั่งขวามือของหน้า Facebook Page เป็นตำแหน่งที่มีประสิทธิภาพน้อย แต่ราคาถูก โดยเราสามารถสร้างความน่าสนใจให้กับโฆษณาโดยการเลือกรูปที่ดึงดูดสายตาของผู้พบเห็น หรือรูปที่ทำเสนอความเป็นลักษณะเฉพาะ นำมาสู่ความแตกต่างของจากคู่แข่ง
- Mobile News Feed :
การนำเสนอโฆษณาผ่าน Feed หน้าแรกของผู้ใช้ที่เข้าถึงเว็บไซต์หลักจากทำการ Log in ผ่านโทรศัพท์มือถือ เป็นรูปแบบที่สร้าง Engagement และ Discovery ที่ดี แต่เป็นรูปแบบที่ตัว Ads ต้องมีความสั้น กระชับเนื่องจากมีพื้นที่แสดงผลที่จำกัด
- Marketplace :
การสร้างโฆษณาบน Marketplace ที่เป็นสถานที่ในการค้นหา และซื้อสินค้าในแพล็ตฟอร์ม Facebook ที่สามารถเพิ่มโอกาสในการขายสินค้า และบริการของผู้ที่โพสต์ได้
- In-Stream Video :
เป็นการนำเสนอในรูปแบบวีดีโอที่คล้ายกับโฆษณาบนวีดีโอใน YouTube โดยตัววีดีโอสามารถเล่นก่อน หรือระหว่างการชมแบบ High-Visibility ก็สามารถทำได้เช่นกัน
- Stories :
Facebook Stories การนำเสนอโฆษณาด้วยวีดีโอที่มีความยาวไม่เกิน 15 วินาที สามารถรับรองการใช้งานผ่านโทรศัพท์มือถือ และการนำเสนอแบบ Full-screen ที่สามารถสร้างความประทับใจผ่านวีดีโอสั้น ๆ เพื่อทำให้ผู้ชมสามารถเข้าใจ และดึงดูดความสนใจแก่ผู้พบเห็นได้
- Audience Network :
รูปแบบการทำโฆษณาบนเว็บไซต์อื่น ๆ ที่เป็น Partner กับ Facebook เพื่อให้การนำเสนอโฆษณาของเรานั้น สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ใหญ่มากขึ้น หรือรวมถึงการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ใช้แอพพลิเคชั่น หรือเว็บไซต์อื่น ๆ พบเห็นโฆษณาของเรา
3. การสร้างคุณค่าที่ทำให้แตกต่าง (Value Proposition) และ มี Call to Action ที่ชัดเจน
จากการสำรวจของ Facebook ผู้ใช้ Facebook ผ่านโทรศัพท์มือถือนั้น ใช้เวลาโดยเฉลี่ยเพียง 1.7 วินาที ในการมองโพสต์หนึ่งโพสต์ก่อนเลื่อนผ่าน การออกแบบโฆษณาเพื่อสร้างความสนใจแก่ผู้ที่พบเห็นนั้นควรจะสามารถสร้างคุณค่าที่ทำให้เราแตกต่างจากคนอื่นและนำไปสู่ Call to Action ของแคมเปญได้ เช่นการกดลิงก์สมัครสมาชิก การกดติดตาม การซื้อสินค้า และ การลงทะเบียน เป็นต้น
จากภาพนั้น เราจะเห็นได้ว่าโฆษณาหลักสูตร Digital Marketing Strategy ของสถาบันอบรม Digital Marketing อย่าง STEPS Academy มีการใช้สีฟ้า น้ำเงิน ซึ่งเป็น Color Identity ของสถาบันในการเสนอ อีกทั้งยังใช้โทนสีที่ตัดกันสำหรับข้อความเพื่อทำให้ดึงดูดสายตาผู้อ่าน ยิ่งไปกว่านั้น มีการใช้ Call to Action ที่นำไปสู่การไปที่หน้าเว็บไซต์ด้วยคำว่า “Learn More” เพื่อศึกษาข้อมูลรายละเอียดหลักสูตรเพิ่มเติม
จากภาพนั้น เราจะเห็นได้ว่าโฆษณาหลักสูตร Digital Content Marketing และ SEO Content Marketing ของสถาบันอบรม Digital Marketing อย่าง STEPS Academy มีการใช้สีประจำหลักสูตรอย่างสีส้ม และสีม่วงแดงในการนำเสนอ ทำให้ง่ายต่อสร้างการจดจำแก่ผู้พบเห็นโฆษณา ยิ่งไปกว่านั้น มีการใช้ Call to Action ที่นำไปสู่การไปที่หน้าเว็บไซต์ด้วยคำว่า “Learn More” เพื่อศึกษาข้อมูลรายละเอียดหลักสูตรเพิ่มเติม
ทั้งนี้การกำหนดรูปแบบโฆษณา ควรคำนึงอยู่เสมอว่าโฆษณาเหล่านั้นจะสามารถสร้างความประทับใจแก่ผู้พบเห็นได้ การใส่คุณค่าที่ทำมาสู่ความแตกต่างและ การมี Call to Action ที่ชัดเจน และทำมาสู่การเกิดผลลัพธ์ที่ดีได้เช่นกัน
4. Landing page และ Ads มีความเกี่ยวเนื่องกัน
หากการออกแบบโฆษณา และ หน้า Landing Page ที่จะพาคุณไปสู่ปลายทางที่โฆษณาต้องการอย่าง Website หรือจุดหมายอื่น ๆ ที่ต้องการนั้น มีความไม่มีความสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน จะทำให้โฆษณาไม่มีประสิทธิภาพ
จากรูปการโฆษณาของ Wix เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสแห่งหนึ่ง ต้องการที่จะทำให้ผู้ใช้งานเกิดความเข้าใจ และแสดงให้เห็นว่าการสร้างร้านค้าออนไลน์ในเว็บไซต์เป็นเรื่องง่าย
ตัวโฆษณาของเรา และ Landing page ที่นำไปสู่การเข้าถึง เว็บไซต์ นั้น ควรจะประกอบไปด้วยองค์ประกอบที่ไปในทางเดียวกัน อย่างเช่น สี ฟ้อนต์ และ การจัดเรียงของภาพ โดยความสอดคล้องกันจะของสิ่งเหล่านี้ จะช่วยให้การคลิ๊กเข้าไปที่เว็บไซต์ แล้วพบกับเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับการมี Call to Action ที่สอดคล้องกัน เช่น “Start Selling Now” เพื่อจูงใจให้คนมาสร้างร้านค้ากับเว็บไซต์ จะทำให้เพิ่มประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้พบเห็นมากขี้นอีกด้วย
5. การเลือกใช้รูปภาพให้ตอบโจทย์
-
การเลือกใช้รูปภาพให้เหมาะกับแพลตฟอร์ม
ก่อนที่จะเริ่มต้นออกแบบโฆษณาควรศึกษาสัดส่วนที่เหมาะสมของตำแหน่งพื้นที่ ที่ต้องการจะลงโฆษณาของในแต่แพลตฟอร์ม เพื่อสร้างประสิทธิภาพสูงสุดให้กับโฆษณา รวมถึงป้องกันการใช้พื้นที่ไม่คุ้มค่าในการสื่อสาร
-
การเลือกรูปภาพให้ตรงกับเนื้อหาที่ต้องการจะนำเสนอ
เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้พบเห็น และ ตรงกับสิ่งที่เล่าต้องกาารจะสื่อออกมาให้กับแบรนด์หรือสินค้า
เทคนิคง่าย ๆ สำหรับการเลือกรูปภาพที่เหมาะสม มีดังนี้
- ใช้รูปที่มีไฟล์คุณภาพสูง แต่ต้องเหมาะสมกับ Platform หรือ รูปแบบในการนำเสนอ
- การนำเสนอสินค้า หรือ แบรนด์ของเรา
- หลีกเลี่ยงการใช้รูปที่มีข้อความมากเกินไป
- ความชัดเจนในการสื่อสารของรูปภาพ
6. การต่อยอดให้กับรูปภาพในงานโฆษณา
การจะนำมาซึ่งใช้รูปภาพดี ๆ นั้น ไม่จำเป็นต้องเสียเงินเสมอไป ในยุคนี้เราสามารถเข้าถึงคลังรูปภาพดี ๆ ได้ผ่านเว็บไซต์อย่าง Unsplash และ Canva เพียงแค่ค้นหาคีย์เวิร์ด และ คุณก็สามารถได้รูปภาพที่ต้องการมาในมือ
เมื่อหารูปที่ต้องการได้แล้ว และต้องการนำไปต่อยอดสรรสร้างให้ออกมาน่าสนใจมากยิ่งขึ้น Canva จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่สามารถช่วยออกแบบสร้างสรรค์โฆษณาได้ เนื่องจากมี Templates ให้ได้เลือกใช้มากมาย ทำให้การออกแบบโฆษณาของคุณไม่ยุ่งยากอีกต่อไป
7. การใช้สีในเชิงจิตวิทยา เพื่อออกแบบโลโก้
ในการทำโฆษณานั้น การเลือกใช้สีให้เหมาะสมกับสิ่งที่ต้องการจะทำเสนอนั้น จัดเป็นหนึ่งสิ่งที่สำคัญเหมือนกับการเลือกใช้คำ หรือ รูปภาพ โดยจากกรณีศึกษาเรื่อง Management Decision หนึ่งในงานวิจัยบนเว็บไซต์ Emerald มากกว่า 90% ตัดสินแบรนด์ หรือ สินค้า ได้จากสี ซึ่งการเลือกใช้สีที่ดีควรจะ
- นำเสนอความแตกต่างเพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับสายตาผู้อ่าน
- การระบุ Brand Identity เมื่อนึกถึงแบรนด์ของเราอย่างไร มีโลโก้ หรือเอกลักษณ์ที่แสดงถึงความแตกต่างไหม
- ความสอดคล้องระหว่าง Mood and Tone ของสินค้า กับ สิ่งที่ต้องการจะนำเสนอ
ในเชิงวิทยาศาสตร์ การเลือกใช้สีที่แตกต่างกันนั้นส่งผลต่อผลลัพธ์ในเชิงจิตวิทยา
ตัวอย่างเช่น คนสูงอายุส่วนมากจะชอบสีโทนฟ้าหรือม่วง ในทางตรงกันข้ามกันกับวัยหนุ่มสาวที่มีแนวโน้มที่จะชอบสีสันที่มีความสดใสมากกว่า เช่น สีแดง สีส้ม
เมื่อเลือกสีที่ต้องการจะใช้ได้แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่คิดนึกถึงความเหมาะสมในการใช้งานด้วยเช่นกัน เพื่อที่จะสามารถสร้างความแตกต่างให้กับคู่แข่งในตลาด ทำให้แบรนด์ หรือสินค้าของเราโดดเด่น สีสันในโฆษณานั้นเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่สามารถสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับโฆษณา
8. การใช้รูป Location-Specific บ่งบอกความเป็นอัตลักษณ์ของผู้คนในย่านนั้น ๆ
การทำโฆษณาใน Facebook สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายที่จะเข้าถึงโฆษณาได้จากกำหนดข้อมูลพื้นฐาน และ ภูมิภาค ทำให้สามารถเลือกรูปภาพสื่อสารกับคนเฉพาะกลุ่มได้
การเลือกใช้รูปภาพให้เข้ากับภูมิภาคนั้น ๆ อย่างการใช้สถานที่ที่เป็น Landmark บ่งบอกถึงความเป็นอัตลักษณ์ของเมืองนั้น ๆ สามารถทำให้ผู้พบเห็นโฆษณาเห็นภาพ และ เข้าใจได้ตรงจุดได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น
ตัวอย่างเช่น
สายการบิน WestJet ต้องการที่จะโฆษณาแนะนำคนไปเที่ยวที่เมือง Calgary ประเทศแคนาดา จึงเลือกใช้รูปที่แสดงถึงอัตลักษณ์ของเมืองมาใช้โฆษณา เพื่อช่วยให้การนำเสนอเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ
9. การออกแบบสำหรับให้เหมาะกับการใช้งานบนโทรศัพท์มือถือ
ในปี 2020 จากการสำรวจของ Facebook พบว่ากว่า 79% ของผู้ใช้ Facebook นั้น ใช้แอปพลิเคชันผ่านโทรศัพท์มือถือ ทำให้การออกแบบรูปแบบของโฆษณานั้นจะต้องคำนึงของรูปแบบที่ตอบโจทย์ต่อการพบเห็นบนโทรศัพท์
จากตัวอย่างโฆษณาของ Qantas ในรูปตัวอย่างนั้น จะทำให้เห็นได้ว่ามีการใช้เป็นวีดีโอแนวตั้ง เพื่อให้เกิดคุณภาพสูงสุดในการรับชม รวมถึงมีการใช้ข้อความสั้น ๆ ให้วีดีโอเป็นตัวเล่าเรื่องหลัก
10. การทำ Split Test เพื่อเลือกรูปแบบที่ดีที่สุดสำหรับโฆษณา
การทดสอบเพื่อวัดผลหาชิ้นงานที่ดีที่สุดในการนำไปสร้างแคมเปญจริง สามารถช่วยคาดการณ์ผลลัพธ์ของรูปแบบของโฆษณาที่เหมาะสมได้ ในปัจจุบันมีหลากหลายวิธีในการทดสอบ ตัวอย่างเช่น
-
การทำ A/B Testing บน Facebook Ads Manager
เป็นวิธีการทำทดสอบที่เลือกตัวแปรที่ต้องการจะทดสอบ เช่น กลุ่มเป้าหมาย ตำแหน่งการจัดวาง เนื้อหาคอนเทนต์ รวมถึงรูปแบบกราฟฟิคที่ต้องการจะนำเสนอ ซึ่งหลักจากการทำการทดสอบนั้น Facebook จะทำการเลือกเคมเปญที่ได้ผลลัทธ์ที่ดีที่สุดให้กับเรา
-
AdEspresso split testing
เป็นวิธีทดสอบผ่านเว็บไซต์ AdEspresso ในการทดสอบด้วยวิธีนี้นั้นจะทำให้คุณสามารถวัดผลลัพธ์ได้หลากหลาย โดยสามารถเลือกได้ว่าต้องการจะโปรโมทโ้ดยวัตถุประสงค์อะไร รวมถึงสามารถทดสอบผลลัพธ์ของ Headline ข้อความที่จะใช้โปรโมท รูปภาพและวีดีโอ ได้อีกด้วย
โฆษณาบน Facebook ที่มีคุณภาพนั้น สามารถเพิ่มความสนใจ และ ช่วยในการนำเสนอให้ออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดของโฆษณาไม่ใช่การมีองค์ประกอบที่ดีที่สุด แต่เป็นการที่โฆษณาสามารถสร้าง Engegement กับผู้ที่พบเห็นได้
ข้อมูลจาก
https://adespresso.com