- 87% ของนักการตลาดมองว่า Data เป็นสินทรัพย์ที่มีประโยชน์มากที่สุดของธรุกิจ
- ธุรกิจที่เลือกนำ Data มาใช้ในการวางแผนกลยุทธ์มีผล ROI (Return on investment) สูงกว่า 5-8 เท่าเมื่อเทียบกับบริษัทอื่น
- อีกทั้ง 40% ของแบรนด์มีแผนที่จะเพิ่มงบประมาณให้กับด้าน Data-driven marketing
ข้อมูลจาก invespcro บริษัทด้านการตลาดขนาดใหญ่ในอเมริกาที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการนำ Data มาใช้ในการทำการตลาดค่ะ
วันนี้ STEPS Academy จะพาผู้อ่านทุกท่านมาทำความเข้าใจถึงแนวทางในการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดด้วย Data โดยก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจถึง Data Marketing กันค่ะ
Data Marketing คืออะไร
Data Marketing หมายถึง การนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ควบคู่ไปกับการวางกลยุทธ์ทางการตลาด โดยการนำข้อมูลมากจากกลุ่มลูกค้าที่มีปฎิสัมพันธ์กับแบรนด์ หรือข้อมูลที่มาจากแหล่งภายนอกอื่นๆ ( Third party data) เพื่อนำมาใช้ในการศึกษาและทำความเข้าใจ ความชอบ และพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย และนำมาปรับเปลี่ยนเป็นกลยุทธ์ทางการตลาด
ดังนั้นก่อนที่เราจะมาดูแนวทางในการนำ Data มาใช้ในการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด เรามาดูแหล่งของข้อมูลใกล้ตัวสำหรับนักการตลาด ในการนำมาใช้งานกันค่ะ
Data Sources นักการตลาดสามารถใช้ข้อมูลจากที่ใดได้บ้าง
หลักจากที่ได้ทำความเข้าใจถึงความสำคัญของการนำข้อมูลมา วิเคราะห์ และ ต่อยอดกลยุทธ์ทางการตลาดแล้ว หลายท่านอาจคิดว่าการนำข้อมูลมาใช้สามารถทำได้แค่เพียงในบริษัทที่มีการจัดเก็บ Big data ขนาดใหญ่ หรือมีการใช้ Machine learning เพื่อศึกษาวิคราะห์ข้อมูลเท่านั้น ดังนั้นแล้วเรามาดูกันดีกว่าค่ะว่าเราจะสามารถนำข้อมูลใกล้ตัวจากแหล่งใดมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจเราได้บ้าง
1. CRM Data
ข้อมูลที่ได้จากระบบ CRM หรือ Customer Relationship Management ซึ่งเป็นระบบที่หลายบริษัทใช้เป็นเครื่องมือในการดูแลความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับลูกค้านั่นเองค่ะ เครื่องมือเหล่านี้นอกจากจะช่วยในการสื่อสาร หรือรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าแล้วยังสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้า นำมาแบ่ง Segment หรือช่วยในการทำ Personalized Marketing เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาความสัมพันธ์ได้อย่างตรงใจมากยิ่งขึ้น โดยตัวอย่างเครื่องมือที่สามารถช่วยในการทำ CRM เช่น
- LINE OA
- Active Campaign
- Hubspot
2. Web Analytic Data
![Web Analytic Data](https://stepstraining.co/wp-content/uploads/2022/03/google-analytics.png)
Dashboard แสดงข้อมูลผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์จาก Google Analytic
Web Analytic เป็นเครื่องมือที่เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์การใช้งานบนเว็บไซต์ ซึ่งรวบรวมข้อมูลของผู้ใช้งาน หรือ Cutomer Data ที่ได้เข้าชมเว็บไซต์ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่สามารถนำไปต่อยอดในการทำการตลาดได้ค่ะ
3. Mobile App Data
![Mobile App Data](https://stepstraining.co/wp-content/uploads/2022/03/Mobile-App-Data-.png)
ภาพจาก neilpatel.com
Mobile App Analytic เป็นเครื่องมือสำหรับวิเคราะห์การใช้งานบนแอพลิเคชั่น เช่นเดียวกันกับ Web Analytic โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อพัฒนาแอพพลิเคชั่นด้วยการรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งาน
4. Transaction Data
![Transaction Data](https://stepstraining.co/wp-content/uploads/2022/03/transaction-history-.png)
ภาพจาก support.classy.org
Transaction Data หรือ ข้อมูลการทำธุรกรรม อาจจะเป็นข้อมูลที่นักการตลาดหลายท่านมองข้าม แต่ข้อมูลในส่วนนี้สามารถนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าได้เช่น
- ราคาที่ผู้บริโภคยินดีที่จะจ่าย
- ประเภทสินค้าที่เลือกซื้อ ความชื่นชอบ หรือความสนใจ
- ช่วงเวลาที่ผู้บริโภคมักเลือกซื้อสินค้า
- สินค้าที่ผู้บริโภคมักซื้อพร้อมกัน
5. Call Tracking and Conversation Intelligence Data
![Call Tracking and Conversation Intelligence Data](https://stepstraining.co/wp-content/uploads/2022/03/conversation-intelligence.png)
ภาพจาก invoca.com
อีกหนึ่งเครื่องมือที่รวบรวมข้อมูลจากกลุ่มเป้าหมายที่มีการ Interact กับแบรนด์ผ่านช่องทางออนไลน์ และทางโทรศัพท์ ด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลเข้าด้วยกันเพื่อให้นักการตลาดทราบได้ถึง
- ช่องทางที่ทำให้ลูกค้ารู้จักและให้ความสนใจกับแบรนด์
- แรงจูงใจในการโทร
- ความรู้สึกและการตัดสินใจ
ซึ่งข้อมูลส่วนนี้จะทำให้นักการตลาดสามารถต่อยอดในการพัฒนาเคมเปญ หรือเพิ่ม Conversion ให้กับธุรกิจได้อย่างเข้าใจผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น
แนวทางในการนำ Data มาใช้ในการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด
ต่อมาเรามาดูไอเดียในการนำข้อมูลต่างๆ มาต่อยอดในการทำการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพกันค่ะ โดยวันนี้ผู้เขียนได้รวบรวม 2 ตัวอย่างที่น่าสนใจมาฝากทุกท่านดังต่อไปนี้
1.Inform Ad Targeting
![Inform Ad Targeting](https://stepstraining.co/wp-content/uploads/2022/03/Inform-Ad-Targeting.png)
ภาพจาก ariomarketing.com
เคยไหมคะที่เลือกซื้อสินค้าไปแล้ว แต่ยังกลับเห็นโฆษณาสินค้าตัวเดิมอีกบ่อยครั้ง หรือในบางครั้งที่พบโฆษณาสินค้าที่แสดงผลได้ไม่ครบถ้วนเมื่อรับชมบนมือถือ ข้อผิดพลาดเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลแค่เพียงการสร้างความน่ารำคาญให้กับลูกค้าเท่านั้น แต่ยังหมายถึงงบประมาณที่เสียไปบนโฆษณาอย่างไม่มีประสิทธิภาพเช่นกันค่ะ
ดังนั้นนักการตลาดสามารถนำ Data มาใช้ในการสร้างเคมเปญการโฆษณาออนไลน์ให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น
แบรนด์ A ขายสินค้าสกินแคร์ มีกลุ่มเป้าหมายเป็นเพศหญิงที่มีอายุตั้งแต่ 23 – 55 ปี ต้องการเพิ่มปริมาณยอดขายบนเว็บไซต์ของปี 2022 ให้สูงจากเดิม 30% จากข้อมูลที่แบรนด์ A ทำการเก็บจาก Google Analytic ค้นพบว่าผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ส่วนใหญ่มีอายุ 25 – 35 ปี และมีแนวโน้มเลือกซื้อสินค้าผ่านทางเว็บไซต์มากที่สุด โดยเข้าผ่าน Mobile Device เป็นส่วนใหญ่
จากข้อมูลที่กล่าวมานักการตลาดแบรนด์ A สามารถปรับเคมเปญทางการตลาดได้โดยการ
- สร้างโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายที่มีอายุ 25-35 ปี
- มีการ Optimize โฆษณาให้สามารถรับชมผ่าน Mobile Device
- สร้างโฆษณาผ่านทาง Social Media ได้แก่ Instagram,Facebook,Twitter โดยพิจารณาช่องทางจาก Third party data ที่ได้ทำการค้นคว้ามาเพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายหลักมากที่สุด
- สร้าง Creative Ads ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการให้รับชม ด้วยการทำ A/B Testing เพื่อสร้างเคมเปญโฆษณาอย่างตรงใจกลุ่มเป้าหมาย
2. Segment Email list
![Segment Email list](https://stepstraining.co/wp-content/uploads/2022/03/Segment-Email-list-.png)
ภาพจาก searchcustomerexperience
Email Marketing เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสื่อสารไปยังกลุ่มลูกค้า ซึ่งถือเป็นเครื่องมือ CRM ที่สามารถจัดเก็บข้อมูลของผู้ติดตามได้ โดยนักการตลาดสามารถ Segmentation ถังผู้ติดตามเพื่อทำการนำเสนอสินค้าหรือบริการให้เหมาะสมกับผู้ติดตามที่มีความสนใจแตกต่างกันโดยวสามารถเลือกแบ่งได้จาก
- Purchase History หรือ ประวัติการสั่งซื้อสินค้า เพื่อทำการนำเสนอสินค้าผ่านทาง Email ได้อย่างเหมาะสม
- Time of Purchase หรือ ช่วงเวลาที่เลือกซื้อสินค้า
- Purchasing Behavior หรือพฤติกรรมในการซื้อโดยสามารถแบ่งได้ตามความเหมาะสมของธุรกิจเช่น ผู้บริโภคที่ชอบซื้อสินค้าโปรโมชั่น, ผู้บริโภคที่มีปริมาณการสั่งซื้อต่อครั้งในจำนวนมาก เป็นต้น
- ข้อมูลด้าน Demographic ทั่วไปเช่น เพศ อายุ การศึกษา เป็นต้น
โดยการทำ Email Marketing Segmentation เช่นนี้จะช่วยให้นักการตลาดในการเพิ่ม Conversion rate หรือโอกาศในการปิดการขายที่เพิ่มขึ้น, Open rate หรือ อัตราในการเปิดอ่าน Email ที่สูงขึ้น และลดอัตราการกด Unsubscribe อีกด้วยค่ะ
3. Website Personalization
![Website Personalization](https://stepstraining.co/wp-content/uploads/2022/03/Website-Personalization-.png)
ภาพจาก growmatik.ai
Website Personalization เป็นกระบวนการในการปรับแต่งเว็บไซต์ให้สอดคล้องไปกับผู้ใช้งานที่มีความต้องการ และความสนใจในตัวสินค้าที่แตกต่างกัน เพื่อให้ทุกการคลิกเข้ามายังเว็บไซต์ของแบรนด์เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดจึงต้องอาศัยการทำ Website Personalization เพื่อนำเสนอข้อมูล หรือสินค้าให้ตรงตามความเหมาะสมของลูกค้าที่ได้มาจากการเก็บข้อมูลนั่นเองค่ะ โดยการทำ Website Personalization มีประโยชน์ดังนี้
- ช่วยลด customer acquisition cost หรือต้นทุนการได้มาซึ่งลูกค้า
- เพิ่ม Engagement หรือ การมีส่วนร่วมบนเว็บไซต์
- ลดปัญหา Cart abandonment
- ช่วย Sale ในการปิดการขายได้มากยิ่งขึ้น
- Website Friendly ช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้งานเว็บไซต์ของเราได้ง่ายมากยิ่งขึ้น มองหาสินค้าหรือข้อมูลจากแบรนด์ได้ตรงตามความต้องการในเวลาที่รวดเร็ว
สรุป
ในการทำ Data Marketing หรือ การทำการตลาดด้วยข้อมูลถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นโดยการนำเครื่องมือทางการตลาดมาช่วยในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจค่ะ จึงกล่าวได้ว่านอกจากแนวทางในการเก็บรวบรวมข้อมูลแล้ว นักการตลาดยังต้องทำความเข้าใจกลยุทธ์ในการนำข้อมูลที่มีอยู่ไปต่อยอดและพัฒนาเพื่อให้เกิดผลประโยชน์มากที่สุดค่ะ
สำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนกลยุทธ์ได้คมขึ้นเพื่อสร้างจุดแข็งที่แท้จริงให้กับธุรกิจพร้อมประหยัดเวลาลองผิดลองถูก ด้วย Data Marketing ไปกับหลักสูตร ‘DATA MARKETING STRATEGY’
ที่มา
https:// www.invoca.com
https:// www.invespcro.com
https:// foryouandyourcustomers.com