ท่ามกลางบรรยากาศที่ธุรกิจทั้งเล็กและใหญ่แข่งขันกันอย่างดุเดือดในสนามต่าง ๆ การหาทางดึงดูดลูกค้าด้วย Freemium จึงถือเป็นหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายเห็นว่าสินค้าบริการของเราโดดเด่นกว่าใครและรู้สึกสนใจจนอยากเข้ามาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
สำหรับใครที่ยังไม่แน่ใจว่า Freemium คืออะไรกันแน่ เราจะมาอธิบายให้เห็นภาพมากขึ้นกันนะคะ
คำว่า Freemium มีที่มาจาก Free + Premium หมายถึงว่ากลุ่มเป้าหมายสามารถเสพคอนเทนต์หรือใช้สินค้าบริการของเราแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่หากอยากได้รับสินค้าบริการหรือคอนเทนต์ใด ๆ ที่พรีเมียมมากกว่าเดิมก็จำเป็นต้องจ่ายเงินให้เรา
ข้อดีของการใช้กลยุทธ์ Freemium คือทุกฝ่ายจะได้ประโยชน์อย่าง Win-Win โดยทางกลุ่มเป้าหมายจะได้รับสิทธิประโยชน์ดี ๆ จาก Freemium ส่วนทางแบรนด์ก็จะได้รับข้อมูลของลูกค้า ทำให้สามารถติดต่อกลับไปและวางกลยุทธ์การตลาดได้ตรงจุดมากขึ้น
ดังนั้น เราจึงควรใช้กลยุทธ์ Freemium เมื่ออยากได้ข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายเป็นจำนวนมากแล้วอยากประหยัดค่าใช้จ่ายในการหาลูกค้าใหม่ (Customer Acquisition Course) ค่ะ
ซึ่งในครั้งนี้ทาง STEPS Academy ขอนำเสนอเคล็ดลับการทำ Freemium ใน 3 Funnel ด้วยกัน ได้แก่ Top of Funnel, Middle of Funnel, Bottom of Funnel ตามไปดูรายละเอียดกันเลยค่ะ
แต่ไม่ว่าจะอยู่ใน Funnel ไหนเทคนิคสำคัญคือเราต้องเขียน Call To Action ในแต่ละ Freemium ให้น่าดึงดูดใจและกระตุ้นให้เกิดการกระทำได้จริงค่ะ
นอกจากนี้ การดีไซน์แบบฟอร์มสำหรับกรอกข้อมูลและหน้า Landing Page (หน้าเว็บไซต์ที่ถูกสร้างแยกออกมาเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง) ให้มี UX UI (User Experience & User Interface) ที่ใช้งานง่ายก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกันนะคะ
ตามมาดูไอเดียของการทำ Freemium ในช่วง Top of Funnel กันเลยค่ะ
คลิกเพื่อดูรายละเอียดคอร์สเรียนเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์นี้ค่ะ https://stepstraining.co/digital-content-marketing
Top of Funnel (TOFU)
สำหรับการทำ Freemium ในขั้นตอนนี้เรายังไม่จำเป็นต้องเน้นการขาย แต่เน้นการสร้างความเชื่อใจให้กลุ่มเป้าหมายก่อนค่ะ
ส่วนในแง่ของข้อมูลลูกค้า ในขั้นตอนนี้เราจะเน้นเก็บแค่ ชื่อ นามสกุล และอีเมลของลูกค้าเท่านั้นค่ะ ซึ่งวิธีการที่จะทำให้เราได้ข้อมูลของลูกค้าชั้นดีก็คือเราต้องนำเสนอคอนเทนต์ที่มีคุณภาพตั้งแต่ต้นทางนั่นเองค่ะ
ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องทำให้ตัวคอนเทนต์อ่านง่าย ให้ความรู้ และนำไปปรับใช้ได้จริง เพื่อให้ผู้ติดตามรู้สึกประทับใจ และกลับมาอ่านอยู่เรื่อย ๆ จนจดจำแบรนด์ของเราได้และบอกต่อในที่สุดค่ะ
1.มอบไฟล์ PDF ให้ดาวน์โหลดข้อมูลฟรี
สำหรับผู้ติดตามที่อาจจะไม่มีเวลาอ่านบทความยาว ๆ ของเราจนจบ เราก็สามารถทำไฟล์ PDF สรุปใจความสำคัญแยกไว้ให้ดาวน์โหลด เพื่อที่ผู้ติดตามจะได้นำเนื้อหาต่าง ๆ ไปประยุกต์ใช้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น
การใช้กลยุทธ์นี้มีข้อดีตรงที่ผู้ติดตามหน้าใหม่จะรู้สึกประทับใจในเนื้อหาที่ได้มาพร้อมกับความประหยัดเวลา ทำให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะกลับมาติดตามบทความต่าง ๆ เพิ่มอีก
2.มอบ Freemium ผ่านอินฟลูเอนเซอร์
ลองใช้อินฟลูเอนเซอร์เป็นสื่อกลางในการมอบคอนเทนต์ Freemium ให้กับผู้ติดตาม ตัวอย่างเช่น อินฟลูเอนเซอร์ใน Facebook, YouTube, TikTok, Instagram, Twitter
โดยรูปแบบของอินฟลูเอนเซอร์นั้นมีหลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ติดตามด้วย เช่น
- Nano Influencer จะมีจำนวนผู้ติดตามอยู่ที่ 1,000-10,000 คน
- Micro Influencer จะมีจำนวนผู้ติดตามอยู่ที่ 10,000-50,000 คน
- Macro Influencer จะมีจำนวนผู้ติดตามอยู่ที่ 100,000-1,000,000 คน
- Mega Influencer จะมีจำนวนผู้ติดตามมากกว่า 1,000,000 คนขึ้นไป
ดังนั้น ก่อนจะเลือกติดต่องานกับอินฟลูเอนเซอร์ประเภทไหน ให้วิเคราะห์ลักษณะธุรกิจและกลุ่มเป้าหมายของเราด้วยนะคะ
คลิกเพื่อดูรายละเอียดคอร์สเรียนเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์นี้ค่ะ https://stepstraining.co/digital-content-marketing
Middle of Funnel (MOFU)
ใน Funnel นี้ Freemium ที่ทำจะมีความจริงจังมากขึ้น เพราะกลุ่มเป้าหมายที่เข้ามาจะเป็นผู้ที่เริ่มสนใจในสินค้าบริการของเราแล้ว
เราจึงสามารถขอข้อมูลของลูกค้าอย่างละเอียดขึ้นเพื่อนำมาต่อยอดด้านการตลาด เช่น ข้อมูลชื่อ นามสกุล อีเมล ชื่อบริษัท ตำแหน่งงานที่ทำ
อีกทั้งตัว Freemium ที่ทำก็มีความเกี่ยวข้องกับการขายสินค้าบริการของเราได้มากขึ้น (แต่ไม่ใช่พยายามขายจนเกินไป) แตกต่างจาก Freemium ในช่วง Top of Funnel ที่เน้นการให้ข้อมูลทั่วไปเป็นหลักค่ะ
ลองมาดูตัวอย่างของ Freemium ในช่วง Middle of Funnel กันค่ะ
3.จัดสัมมนาออนไลน์ภายใต้หัวข้อที่ได้รับความสนใจ
เป็นรูปแบบการจัดสัมมนาในโลกออนไลน์ภายใต้หัวข้อต่าง ๆ นั่นหมายความว่าถ้าเรากำหนดหัวข้อได้ตอบโจทย์ความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย พวกเขาย่อมสมัครเข้ามาฟังสัมมนา ทำให้เราได้ข้อมูลของผู้ที่สนใจมาเก็บไว้ใน Database สำหรับใช้ติดต่อกลับไปในอนาคต
ซึ่งเราสามารถบันทึกวิดีโอของ Webinar ไว้ส่งให้ผู้ติดตามกลับไปทบทวนต่อทางอีเมล เพื่อจะได้รักษาความสัมพันธ์กับผู้ติดตามเหล่านั้นผ่านทางอีเมลอยู่เรื่อย ๆ
นอกจากนี้ เรายังควรจดบันทึกคำถามของผู้เข้าร่วมระหว่างการสัมมนาไว้ เพื่อนำคำถามเหล่านั้นไปต่อยอดทำการตลาดในอนาคต
4.ออกแบบเช็กลิสต์ที่เข้าใจง่ายนำไปใช้ต่อได้ทันที
การทำเช็กลิสต์ถือเป็นไอเดียที่ตอบโจทย์มากสำหรับกลุ่มผู้ติดตามที่ชอบเนื้อหากระชับเข้าใจง่าย โดยเช็กลิสต์จะเหมาะกับคอนเทนต์ประเภทข้อควรจำ ข้อควรทำ หรือสิ่งที่ต้องเตรียมไว้หากจะทำอะไรบางอย่าง ซึ่งสิ่งที่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบคือโดยส่วนใหญ่คอนเทนต์ Freemium ประเภทเช็กลิสต์จะได้ผลตอบรับดีในแคมเปญ Google Ads ด้วยค่ะ
5.แจก Template ฟรี
โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเท็มเพลตที่มีความซับซ้อน แต่สามารถเป็นแค่เท็มเพลตง่าย ๆ ที่ช่วยประหยัดเวลาการทำงานของผู้ติดตามได้ก็พอค่ะ
ยิ่งถ้าเป็นเทมเพลตที่ช่วยดีไซน์การจัดวางข้อมูลต่าง ๆ อย่างเป็นระบบเท่าไร ยิ่งง่ายต่อการใช้งาน ทำให้คนนำไปแชร์ต่อกันมากขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการโปรโมตแบรนด์ของเราไปในตัว
ข้อดีคือกลุ่มเป้าหมายที่เข้ามาด้วย Freemium นี้จะเป็นผู้ที่พร้อมลงมือทำบางอย่างไม่ใช่เข้ามาแค่เพียงเพราะต้องการข้อมูลแบบผิวเผินค่ะ
คลิกเพื่อดูรายละเอียดคอร์สเรียนเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์นี้ค่ะ https://stepstraining.co/digital-content-marketing
Bottom of Funnel (BOFU)
เดินทางมาถึง Funnel สุดท้ายกันแล้ว ถ้ากลุ่มเป้าหมายอยู่ใน Funnel นี้ก็อาจจะตีความได้ว่าพวกเขารู้จักแบรนด์ของเรา และรู้สึกเชื่อใจในระดับหนึ่งแล้ว จึงถือเป็นโอกาสชั้นดีที่เราจะให้ข้อมูลการขายสินค้าอย่างตรงไปตรงมา เพื่อช่วยให้กลุ่มเป้าหมายตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้นค่ะ
มาดูตัวอย่างของ Freemium ในขั้น Bottom of Funnel กันค่ะ
6.นำเสนอกรณีศึกษาของลูกค้าแบรนด์ตัวเอง
โดยเน้นการบอกเล่าว่าหลังจากลูกค้าได้ติดต่อเข้ามาใช้สินค้าบริการของเราแล้วเกิดความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกอย่างไรบ้าง
อย่างเช่น ธุรกิจของลูกค้ามียอดขายเพิ่มขึ้นเท่าไร มีลูกค้าเก่าวนกลับมาใช้บริการมากน้อยแค่ไหน ควบคุมต้นทุนได้อย่างที่ตั้งใจไหม มีกำไรกี่เปอร์เซ็นต์ เพื่อทำให้ผู้ที่ผ่านมาพบเห็นรู้สึกตื่นเต้นจนอยากใช้สินค้าบริการของเราบ้าง
7.ทำ Quiz ให้เลือกว่าแต่ละธุรกิจเหมาะกับสินค้าบริการแบบไหน
โดยคำถามต่าง ๆ ภายใน Quiz จะถูกออกแบบมาอย่างเป็นระบบแล้วว่าถ้าใครตอบข้อไหนจะเหมาะกับสินค้าบริการแบบใด
หลังจากนั้นพอผลลัพธ์ออกมาเราก็ควรเขียนคำแนะนำกำกับอย่าง Customized และใส่ใจว่าสินค้าบริการไหนตอบโจทย์ความต้องการของใครได้ดีที่สุด
ลูกค้าจะได้ไม่เสียเวลาหาข้อมูลนาน และได้สิ่งที่ตอบโจทย์ความต้องการอย่างประหยัดเวลา ไม่ต้องเสียอารมณ์กับการลองผิดลองถูก
8.มอบ Tools ต่าง ๆ ให้ผู้ติดตามนำไปทดลองใช้
โดยเราอาจจะกำหนดระยะเวลาว่าผู้ติดตามสามารถนำ Tools เหล่านั้นไปใช้แบบไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ภายในระยะเวลาเท่าไร
สิ่งที่เราจะได้รับกลับมาคือลิสต์ข้อมูลของผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้า ซึ่งมีแนวโน้มจะจ่ายเงินให้เราในอนาคตด้วย อ้างอิงจากที่พวกเขาทดลองดาวน์โหลด Tools ของเราไปใช้ แปลว่าพวกเขาคงมีความต้องการอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
9.ส่งสินค้าบริการไปให้ทดลองใช้ฟรี
การส่งสินค้าไปให้ทดลองใช้ฟรี หรือการนำเสนอโปรโมชันให้ไปใช้บริการแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายนั้นถือเป็นค่าการตลาดอย่างหนึ่งที่ค่อนข้างรับรองได้ว่ากลุ่มเป้าหมายจะได้รับประสบการณ์จากสินค้าบริการของเราโดยตรง นำไปสู่การตัดสินใจซื้อได้ง่ายกว่า
แตกต่างจากการยิงโฆษณาโดยทั่วไปที่กลุ่มเป้าหมายอาจจะกดเลื่อนผ่านหรือไม่มีความสนใจใด ๆ เลยอาจทำให้สูญเสียงบประมาณไปอย่างเปล่าประโยชน์ในหลาย ๆ ครั้ง
10.ใช้เทคนิคการส่ง Newsletter
นอกจากจะส่ง Newsletter ผ่านทางอีเมลให้กับผู้ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายโดยตรงแล้ว เรายังสามารถใช้เทคนิคเพื่อนบอกต่อเพื่อนได้ด้วยนะคะ
โดยในอีเมลเราอาจจะเขียนกำกับไว้ว่าถ้าใครกด Forward คอนเทนต์นั้น ต่อให้เพื่อนจะได้รับสิทธิประโยชน์อะไรค่ะ
หากคุณเป็นนักการตลาดหรือผู้ที่ต้องทำงานด้านคอนเทนต์ ทาง STEPS Academy ขอแนะนำหลักสูตร Content Marketing ซึ่งจะช่วยให้คุณวางกลยุทธ์การทำคอนเทนต์ได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น ผ่านการทำความเข้าใจกลไกของ Marketing Funnel การวิเคราะห์ Customer Avatar รวมไปถึงกรณีศึกษาต่าง ๆ ที่จะช่วยให้คุณมีไอเดียดี ๆ ในการทำคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายและสร้างยอดขายได้มากขึ้นค่ะ
คลิกเพื่อดูรายละเอียดคอร์สเรียนเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์นี้ค่ะ : https://stepstraining.co/digital-content-marketing
สำรองที่นั่งหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Facebook: Inbox STEPS Academy
LINE OA: @STEPStraining https://lin.ee/jRRdsrN
โทร 065-494-6646 หรือ 02-096-4474