การปรับเปลี่ยนสำหรับ Algorithm ใน Facebook เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนล่าสุดในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา นักการตลาดและเจ้าของธุรกิจหลายท่านที่กระโดนลงมาเล่นตลาดออนไลน์ จะรับรู้ได้อัตโนมัติว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ธรรมดา นอกจากการประกาศของ Mark ช่วงตั้งแต่ปลายปี 2017 ถึง ต้นปี 2018 ที่ผ่านมา
ว่า Facebook จะปรับการเข้าถึงของ News Feed ให้พวกเราในฐานะ Audience ได้มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน ครอบครัวและสังคมใกล้ตัวมากขึ้น แต่หากมองในมุมของธุรกิจพื้นที่ในการโฆษณาน้อยลง
ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กและกลางอาจจะเดือนร้อนมากกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ก็เป็นได้ เพราะงบประมาณที่ต้องเทให้กับโฆษณาบน Facebook นั้นจะถูกเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ตามกฏ Demand & Supply
1.การเปลี่ยนแปลงเรื่องของ News Feed
แล้วเรื่องของคะแนน Engagement ก็มีส่วนเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มขึ้น คะแนนที่จะมีนํ้าหนักมากที่สุดจนถึงน้อยที่สุดสำหรับ Engagement บน Facebook
เมื่อพูดถึง Engagement แน่นอนว่าเราจะนึกถึง Like Comment Share แต่การเปิดตัว interaction ต่างๆของ Facebook เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา ก็มีนํ้าหนักมากขึ้น ทำให้การที่คอนเทนต์ของเราจะอยู่ในหน้า news feed ของ audience ได้อยู่นั้นไม่ว่า Facebook จะปรับ algorithm ให้ลดลงไปอีกก็ต้องขึ้นอยู่ปัจจัย 3 ประการเช่นเดิม แต่นํ้าหนักจะถูกปรับเปลี่ยนแปลง
เริ่มต้นจาก
- Comment ยิ่งคอมเม้นเยอะคะแนนของคอนเทนต์นั้นๆ จะเริ่มเยอะขึ้นด้วย
- Share
- Interaction
ทั้งหมดคือปัจจัยที่มีผลต่อคะแนน Engagement และจะส่งผลให้คะแนนของ Content เราได้ขึ้นไต่อันดับใน News Feed ของลูกค้าอีกด้วย
เพราะฉะนั้นแล้วคอนเทนต์ที่เกิดขึ้นให้ลองหาไอเดียคอนเทนต์ interactive มากกว่า informative ใส่ความเป็น humanize ให้มากขึ้น จะได้เพิ่มคะแนน engagement ได้ง่ายขึ้นหลายเท่าตัว
2.Click Bait อาจจะนำมาซึ่งความสำเร็จที่น้อยลง
ประเด็นสำคัญที่เราต้องตกผลึกต่อเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงเรื่องของคะแนน Engagement นี้ก็คือการใช้เทคนิค Copy Writing เขียนหัวข้อพาดเพื่อ Click Bait อาจจะนำมาซึ่งความสำเร็จที่น้อยลงสำหรับคอนเทนต์ แต่ Headline ที่ผสมคำให้ผู้อ่านผู้ชมได้ลงมือ ปฏิบัติอะไรสักอย่างจะได้ผลมากขึ้น
เช่น ผู้ชาย 3 แบบที่ผู้หญิงมองหา คุณอยากได้ผู้ชายแบบไหนลองคอมเม้นท์มาเลย
3.ประโยคที่กระตุ้นให้เกิดการลงมือปฏิบัติก็จะมีผลต่อคะแนน Engagement ขึ้นมาด้วย
เรื่องนี้จึงเชื่อมโยงไปถึงการกระตุ้นให้คน Live Video ให้มากขึ้นแต่เหมือนเดิมคือเน้นคอนเทนต์ที่เป็นคุณภาพ พร้อมกับคอนเทนต์ที่มีคน Take Action ตลอดเวลา
เช่น มีกิจกรรมให้ช่วยคอมเม้น ให้ช่วยแชร์และกด Interaction ต่างๆ ก็จะช่วยให้คอนเทนต์ของเรารักษาระดับคะแนนได้เป็นอย่างดี
4.คะแนนสำหรับคอนเทนต์ วิดีโอบน Facebookก็ยังคงนำมาเสมอ
แต่อย่าใช้เพียงแค่วิดีโอคอนเทนต์โดยไม่เชื่อมต่อกับฟังก์ชันอื่นๆที่ Facebook มีให้ลองใช้วีดีโอคอนเทนต์เป็นตัวเจาะใจลูกค้าก่อน แต่อย่าลืมเก็บ data เพื่อมาทำโฆษณาให้ตรงกลุ่มมากขึ้น พร้อม บวกกิจกรรม interactive เข้าไป จะเป็นอีกฟังก์ชันที่เราสามารถเชื่อมกับเรื่องของ chatbot และนำมาซึ่ง subscriber แบบคุณภาพอีกด้วย
5.บวกกับการเชื่อมโยงคนที่มี interaction กับคอนเทนต์ของเรา
โดยเฉพาะ live video สามารถลากไปต่อเพื่อทำการกระตุ้นให้เกิด warming lead ต่อเนื่องผ่านการป้อนคอนเทนต์ในระบบ chatbot ใน Facebook messenger ได้อีกด้วย หากใครที่ตอนนี้กำลังลุยเรื่องแชทบอท จะรู้กันว่ามีระบบของ third party หลายเจ้าที่ทำให้เราสามารถป้อนคอนเทนต์ ใช้เครื่องมือทำการตลาด ในการส่งคอนเทนต์ ข้อความให้กับกลุ่มลูกค้าที่ตรงกับที่เราต้องการมากขึ้นอีกด้วย
6.การใช้ Facebook group
เพื่อสร้าง Community ,Engagement , Conversation และ กรุ๊ปของ Audience แบบเข้มข้นเพื่อนำไปใช้เป็นฐานในการโฆษณาต่อบน Facebook ได้อีกด้วย
ล่าสุดทาง Digiday ได้ประกาศข่าวเกี่ยวกับเรื่องของการเปลี่ยนแปลงของ Group Facebook ว่า Facebook กำลังค่อยๆปล่อย Function เพื่อเราสามารถใช้ Facebook pixels for group สำหรับการติดตามพฤติกรรมของ Audience ใน group ได้ทันที
7.Internal Community Building
การมีส่วนร่วมของคนในองค์กร หากวิเคราะห์ง่ายๆ ไม่คิดซับซ้อนว่า Facebook อยากให้เราเชื่อมโยงสายสัมพันธ์กับเพื่อน ครอบครัว คนใกล้ชิดของเรามากขึ้นใน Facebook แน่นอนว่า Facebook profile ของทีมงานของเราก็เป็นอีกหนึ่งในเครื่องมือ แต่ขอให้แน่ใจว่าทีมงานรักในองค์กร รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและอยากร่วมแรงร่วมใจสนับสนุน การเข้าถึงของแบรนด์ไปสู่กลุ่มลูกค้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในโลกออนไลน์ ท้ายที่สุด กระบอกเสียงที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดอาจจะเกิดจากทีมงานของคุณก็ได้
Content Team STEPS Academy