ในช่วงเวลาแบบนี้ ทั้งจากสภาพเศรษฐกิจ ทั้งจากวิกฤตโควิด หลายคนที่มีธุรกิจหรือคิดจะเริ่มต้นก็คงประสบปัญหาเรื่อง “งบประมาณ” กันแน่ ๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นการผลิต การจัดเก็บ หรือแรงงานลูกจ้าง ก็ล้วนแล้วเเต่ต้องใช้เงินกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะ การตลาด ที่ก็ขาดไม่ได้เพราะถ้าไม่ทำก็คงจะไม่มีใครรับรู้ตัวตนของเรา ไม่มีใครมาซื้อสินค้า และบริการ
แต่การทำการตลาดก็ไม่ใช่ว่าจะถูก ๆ แถมจะทำทั้งทีก็ไม่รู้สะอีกว่าจะได้ผลหรือเปล่า? แล้วเราจะต้องทำการตลาดอย่างไรถึงจะไม่ให้เสียเงินไปแบบสูญเปล่า ? วันนี้ผมจะมาแนะนำเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ทุกคนได้เลือกไปใช้ เพื่อให้การทำการตลาดออนไลน์ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ และตามมาด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยลง โดยจะมีทั้งหมด 5 เทคนิคด้วยกัน
โดยก่อนที่จะไปถึงตรงนั้นหลาย ๆ คนอาจจะงงว่า “ทำไมต้อง Digital Marketing ? ” ดังนั้นผมขอเกริ่นสักนิดนึงก่อนนะครับว่า Digital Marketing เนี่ย มันช่วยให้การทำการตลาดของเราได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น และ คุ้มค่าขึ้นยังไงได้บ้าง
“ทำไมต้อง Digital Marketing ? ”
ข้อมูลจากสถาบัน Digital Marketing Institute ระบุว่า Digital Marketing เข้าถึงลูกค้าได้เป็นจำนวนมากโดยที่แทบจะไม่มีข้อจำกัด และยังสามารถทำได้ดีทั้งด้านความคุ้มค่า และ สามารถวัดผลได้ โดยข้อดีของ Digital Marketing สามารถแบ่งได้ 5 ข้อคือ
- เราสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า เพื่อรู้สิ่งที่เค้าต้องการได้
- เราสามารถเข้าถึงตลาดระดับโลกได้ โดยไม่ถูกจำกัดด้วยระยะทาง
- คุ้มค่ากว่า เข้าถึงลูกค้าได้มากกว่าการตลาดแบบเก่า
- เปิดโอกาสให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์ของคุณมากขึ้นจากคอนเทนต์ต่าง ๆ
- ติดตามผล วัดผลได้ทันทีที่เริ่มทำ
“ Digital Marketing คุ้มค่ากว่า ? ”
สังเกตกันมั้ยครับทุกคนว่า ข้อดีข้อหนึ่งของ Digital Marketing นั่นคือ “ค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่าแต่ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า” ซึ่งถ้าหากถามผมว่าจริงไหม ? คำตอบก็คือ ใช่ครับ Digital Marketing สามารถเป็นช่องทางที่ทั้งคุ้มค่ากว่า และ ได้ผลลัพธ์ที่มากกว่า หากเราใช้มันได้อย่างถูกวิธี และมีเทคนิคดี ๆ ซึ่งวันนี้เราได้รวบรวมมาให้ทุกคนได้ลองดูกัน
เทคนิคที่ 1 : การหาลูกค้าเฉพาะกลุ่มที่เราต้องการและสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คงเป็นการเสียเวลาแน่ๆหากเราทำการตลาดออนไลน์ โดยที่ไม่รู้เลยว่าลูกค้าของเราเป็นใคร ต้องการอะไร แล้วใช้ช่องทางไหนเป็นประจำ จนเสียเงินมากมายไปกับการทำการตลาดที่ไปไม่ถึงกลุ่มลูกค้าจริง ๆ ของเรา ซึ่งถ้าเราระบุกลุ่มลูกค้าได้ชัดเจนแล้วทำการตลาดให้ตรงจุดก็จะทำให้เราลดโอกาสที่จะเสียเงินไปเปล่า ๆ แถมยังมีโอกาสที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิมอีกด้วยซ้ำ โดยจากสถิติของ ITSMA บริษัทที่ให้ข้อมูลด้านการตลาดระดับสากลระบุเอาไว้ว่าคอนเทนต์ที่มีการสร้างแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนจะมีผลลัพธ์เป็น 6 เท่าของคอนเทนต์ทั่วไป
คุณ Neil Patel นักเขียนและนักการตลาดชื่อดังระดับโลก ได้บอกเอาไว้ว่าการจะเริ่มทำการตลาด สิ่งแรกที่เราต้องทำคือเราจะต้องเข้าใจในตัวลูกค้า ซึ่งในระดับเริ่มต้นเราสามารถใช้คำถามเหล่านี้ได้
- เป้าหมายของเราอายุเท่าไหร่? เพื่อให้เราปรับเข้ากับลักษณะเฉพาะตามช่วงอายุได้
- อะไรคือปัญหาของลูกค้า? เพื่อให้เราสามารถบอกเล่าได้ว่าสินค้าจะช่วยได้ยังไง
- อาชีพและรายได้ต่อปี เพื่อให้รู้กำลังซื้อ กำลังจ่าย
- เว็ปไซต์ที่พวกเค้าติดตาม เพื่อให้รู้ว่าเค้าชอบคอนเทนต์แบบไหน เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร
“Customer Persona จะทำให้เราเข้าใจ และมองเห็นภาพของเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น“
หากเราต้องการที่จะเข้าใจในตัวลูกค้ามากขึ้นไปอีกเราก็สามารถใช้ Customer Persona หรือการสร้างตัวตนสมมติของลูกค้า ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจและมองเห็นภาพเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น โดยการสร้าง Customer Persona จะประกอบไปด้วยคำถามหลัก ๆ 4 คำถามได้แก่
- Who เขาเป็นใคร อาชีพ ตำแหน่งงาน รายได้ และครอบครัว
- What เค้าต้องการอะไร เป้าหมายและความท้าทายในชีวิต
- Why ทำไมเค้าต้องเลือกใช้สินค้า หรือ บริการของเรา เราตอบโจทย์อะไรเค้า
- How วิธีการซื้อสินค้า หรือ บริการ และช่องทางที่เค้ารู้จักคุณ
ตัวอย่างการสร้าง Customer Persona
ภาพจาก WOCinTech
Customer Persona ของลูกค้าด้านบนคือ Customer Persona ของธุรกิจแอปพลิเคชั่นแนะนำหนังสือ ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีการระบุข้อมูลต่าง ๆ โดยในตัวอย่างมีการระบุ
- ข้อมูลส่วนตัว
- ข้อมุลการใช้งาน Internet
- ความต้องการ
- ปัญหาที่พบ
- นิสัยการอ่าน และ หนังสือที่ชอบ
เมื่อเราเข้าใจแล้วว่าลูกค้าของเราเป็นใคร ต้องการอะไร และชอบใช้ช่องทางไหน เราก็จะสามารถโฟกัสไปที่การทำการตลาดให้ตอบสนองกับประเภทลูกค้าและ ความต้องการเหล่านั้น ซึ่งนอกจากผลลัพธ์ที่ออกมาตรงกับกลุ่มลูกค้าเราจริง ๆ แล้ว ยังสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการทำการตลาดแบบไม่มีเป้าหมายที่แน่นอนได้อีก
เทคนิคที่ 2 : สร้างคอนเทนต์ด้วยหลักการ 80/20
ถึงสถิติจาก HubSpot จะบอกว่าการโพสต์คอนเทนต์ที่จำนวนมากกว่า 16 ครั้งต่อเดือนจะได้ผลดีมากกว่าการโพสต์แค่ 3-4 ครั้งต่อเดือนถึง 3.5 เท่า แต่การจะผลิตคอนเทนต์ในจำนวนที่มากขนาดนั้นก็ดูจะท้าทายกันเกินไปนิดนึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราเป็นธุรกิจรายเล็ก เพราะมันต้องใช้ทั้งงบ ทั้งเวลาที่มหาศาล แล้วทีนี้เราต้องทำยังไงล่ะ? คำตอบคือการใช้หลัก 80/20 มาเป็นแนวทางในการผลิตและโปรโมทคอนเทนต์นั่นเอง
หลักการ 80/20 คือหลักการที่เราจะลดสัดส่วนในลงทุน ลงแรงในการสร้างคอนเทนต์ขึ้นมาใหม่ ให้เหลือเพียง 20% แต่เป็นคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ เช่น วิธีในการหาผู้ติดตาม Blog ของ Brian Dean ผู้ก่อตั้ง ฺBlacklinko ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ที่แบ่งสัดส่วน 20% ของเวลาที่เขามีไปผลิตคอนเทนต์ใหม่ที่มีคุณภาพสูง และอัปเดตคอนเทนต์เก่าที่มีให้มีดีขึ้น ได้ผลลัพธ์ SEO มากขึ้น
ภาพจาก Neilpatel.com
โดยอีก 80% ที่เหลือคุณ Brian Dean จะใช้ในการโปรโมทคอนเทนต์ผ่านการส่ง Outreach email หรืออีเมลที่ส่งแบบเฉพาะเจาะจงให้บุคคลเพียงคนเดียว เป็นจำนวนมากกว่า 100 อีเมลต่อ 1 คอนเทนต์ และนั่นทำให้ Blog ของเค้ามีจำนวนผู้เข้าชมมากกว่า 1 แสนคนต่อเดือนโดยไม่ต้องใช้งบระมาณในการผลิตคอนเทนต์จำนวนมากนั่นเอง
ตัวอย่าง คอนเทนต์ของคุณ Brian Dean ที่ใช้วิธี update คอนเทนต์ที่มีอยู่แล้ว
ภาพจาก Backlinko.com
ถ้าจะให้เห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้นก็ต้องอธิบายว่าเทคนิคนี้คือ การลดจำนวนการสร้างคอนเทนต์ลงจากเดิม แต่เพิ่มคุณภาพของคอนเทนต์และการโปรโมทให้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยในเรื่องผลลัพธ์ที่ตามมาและความคุ้มค่าที่มากขึ้น
โดยสำหรับ SME แล้วเราอาจนำหลักการนี้มาใช้ด้วยลดจำนวนการผลิตคอนเทนต์ลง แล้วเพิ่มคุณภาพของคอนเทนต์ขึ้น เช่น การเขียนบทความเกี่ยวกับประโยชน์ของสินค้าให้ติด SEO หรือการหันมาใช้วิดีโอแนะนำสินค้าโดยแบบครบ จบในตัวเดียว เพื่อความคุ้มค่าทัั้งด้านเวลา และต้นทุนในการผลิตคอนเทนต์นั่นเอง
เทคนิคที่ 3 : การส่งสินค้าทดลองให้ Influencer ได้ทดลองใช้แบบฟรี ๆ
อีกทางเลือกหนึ่งที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีมากมากสำหรับการทำ Digital Marketing บน Social Media นั่นคือการใช้ Influencer Marketing ในการรีวิวสินค้าหรือบริการของเรา ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าปัจจุบันมี Influencer ทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ที่เกิดขึ้นมากมาย
ถึงแม้ว่าการใช้ Influencer อาจมีค่าใช้จ่ายอยู่บ้าง แต่มันก็มีบางวิธีที่เราสามารถทำได้เพื่อลดค่าใช้จ่ายลงนั่นคือ การส่งสินค้าของเราไปให้ Influencer เหล่านั้นแบบฟรี ๆ เพื่อแลกกับการโพสต์เกี่ยวกับสินค้าของเรา ซึ่งที่น่าสนใจก็คือ ในช่วง COVID 19 นี้หลายคนอาจจะผ่านตากันมาแล้วกับ Influencer หลายรายที่มีการโพสต์เปิดโอกาสให้ร้านต่าง ๆ ส่งสินค้าไปรีวิวกันแบบฟรี ๆ โดยเฉพาะสินค้าประเภทอาหาร ซึ่งนี่ก็นับเป็นโอกาสดีที่จะใช้เทคนิคประหยัด ๆ แบบนี้เลย
โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเทคนิคนี้คือ การเลือก Influencer ให้เหมาะสมโดยต้องเลือกจากคนที่มีความน่าเชื่อถือ มีความเชี่ยวชาญในด้านที่สินค้าของเราเกี่ยวข้อง โดยไม่จำเป็นต้องเป็นถึงระดับ Celebrity ที่มีคนติดตามจำนวนมาก แต่อาจะเป็น Micro influencer ที่ผู้ติดตามของเขา ใช่กลุ่มเป้าหมายของเราก็พอ เช่น ถ้าหากเราเป็นธุรกิจขายสินค้าประเภทอาหาร เราก็ควรที่จะเลือกใช้ Influencer ที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับด้านนี้ ซึ่งผู้ติดตามส่วนใหญ่ก็มักจะสนใจในเรื่องเดียวกัน ทำให้โอกาสที่ลูกค้าของเราจะเป็นหนึ่งในผู้ติดตาม Influencer คนนั้น ๆ สูงขึ้นนั่นเอง
เทคนิคที่ 4 : การวัด KPI เพื่อเลือกใช้ช่องทางที่ดีที่สุด
สำหรับใครหลาย ๆ คนที่คงจะได้มีโอกาสลองทำการตลาดออนไลน์มาบ้าง คงจะสังเกตได้ว่าการทำการตลาดออนไลน์นั้นมีช่องทางที่หลากหลายเหลือเกิน แถมแต่ละช่องทางก็มันจะมีลักษณะเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน ทั้งด้านรูปแบบคอนเทนต์ หรือ ประเภทของผู้ใช้ ซึ่งถ้าจะทำการตลาดให้ครบทุกช่องทางก็คงไม่ใช่ถูก ๆ แน่ ๆ
ดังนั้นทางออกอย่างหนึ่งก็คือ การวัด KPI เพื่อโฟกัสเฉพาะบางช่องทางทีเหมาะสมที่สุด ซึ่งเราก็จะสามารถเลือกทำการตลาดได้อย่างคุ้มค่า และลดค่าใช้จ่ายสำหรับช่องทางส่วนเกินที่อาจจะเป็นการสูญเงินไปแบบเปล่า ๆ
โดยการวัด KPI ในแต่ละช่องทางก็มีความทแตกต่างกันไป เช่น บน Facebook อาจจะใช้เป็น Reach (การมองเห็น) หรือ Engagement (การมีส่วนร่วม) โดยเมื่อสามารถหาค่า KPI ของแต่ละช่องทางได้แล้วนำมาเทียบกัน เราก็จะพบว่าช่องทางไหนเป็นช่องทางที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีมากที่สุด
สำหรับช่องทางที่เหมาะกับ SME มีอยู่หลายช่องทางด้วยกัน โดยเราจะขอยกตัวอย่างคร่าว ๆ เช่น
1. Facebook ช่องทางที่ไม่ว่าลูกค้าของเราจะเป็นใครก็มักจะหาได้บนนี้เสมอ โดยช่องทางนี้ ไม่ว่าเป้าหมายของคุณจะเป็นการเพิ่มการรับรู้แบรนด์ เก็บข้อมูลลูกค้า หรือโต้ตอบกับลูกค้า ก็สามารถใช้ Facebook เพื่อเป้าหมายเหล่านั้นได้ทั้งหมด
2. Instagram ช่องทางที่เน้นคอนเทนต์ประเภทภาพ และวิดีโอ ซึ่งเหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กที่อยากให้คนจดจำ ด้วยความที่คนเรานั้นจะจดจำสิ่งที่มองเห็นได้ถึง 80% เมื่อเทียบกับการอ่าน
ตัวอย่าง การลงโฆษณาบน Instagram
3. LINE Official Account อีกช่องทางที่มีความนิยม โดยมีผู้ใช้ในไทยมากถึง 45 ล้านคน ซึ่งเป็นช่องทางที่เหมาะกับธุรกิจที่คิดจะสร้างสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว ด้วยฟีเจอร์ต่าง ๆ มากมาย รวมทั้ง MyShop ที่เปรียบเสมือนเว็บไซต์ E-commerce ส่วนตัวของแบรนด์เรา ให้ลูกค้าเข้ามาซื้อได้ครบจบในแอปฯเดียว
ตัวอย่าง LINE Official Account ของแบรนด์ Vdesign
เทคนิคที่ 5 : ทำให้ลูกค้ารัก แบบประหยัดด้วย One-on-one Conversation
การทำการตลาด อย่างหนึ่งที่มีความสำคัญมาก ๆ นั่นคือ การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าซึ่งจะช่วยสร้างคุณค่า และความน่าเชื่อถือให้กับเเบรนด์ของเรา ซึ่งวิธีหนึ่งที่ทั้งราคาถูก และได้ผลลัพธ์ที่ดีมากคือการใช้ One-on-one Conversation หรือก็คือการโต้ตอบลูกค้าแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น การตอบกลับคอมเมนต์ของผู้ติดตามบน Facebook ซึ่งสามารถสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า หรือ ผู้ที่ติดตามเราได้ โดยถ้าถามว่ามันสำคัญแค่ไหน ? จากสถิติของ Twitter ระบุว่า กว่า 81% ของผู้ใช้งานจะไม่บอกต่อ หรือ แนะนำแบรนด์ใดก็ตามที่ไม่ทำการตอบกลับคอมเมต์หรือคำถามของลูกค้า ซึ่งนั่นเป็นตัวเลขที่สูงมากเลยทีเดียว
ตัวอย่าง One-on-one conversation ของคุณ Neil Patel
ภาพจาก Neilpatel.com
แม้ว่ามันจะต้องใช้เวลาในการไล่ตอบ One-on-one Conversation ต่าง ๆ อยู่บ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเทคนิคนี้นั้นถูก มาก ๆ เพราะแทบไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งจากลูกค้าที่ในตอนแรกรู้สึกเฉย ๆ อาจจะกลายมาเป็นลูกค้าประจำของเราด้วยเทคนิคนี้เลยก็ได้
ตัวอย่าง One-on-one conversation ของ STEPS Academy
สรุป
อย่างที่ทุกคนได้เห็นกันไปแล้วว่า การทำ Digital Marketing นั้นมีเทคนิคต่าง ๆ มากมายที่จะช่วยให้เราได้ผลลัพธ์ที่ดี แต่มีค่าใช้จ่ายที่น้อยซึ่งวันนี้เราได้รวบรวมมาเป็น 5 เทคนิคคือ
- การหาลูกค้าเฉพาะกลุ่มที่เราต้องการและสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- สร้างคอนเทนต์ด้วยหลักการ 80/20
- การส่งสินค้าทดลองให้ Influencer ได้ทดลองใช้แบบฟรี ๆ
- การวัด KPI เพื่อเลือกใช้ช่องทางที่ดีที่สุด
- ทำให้ลูกค้ารัก แบบประหยัดด้วย One-on-one Conversation
ที่มา
Digitalmarketinginstitute.com
Neilpatel.com
Thenextscoop.com
digitalmarketer.com
business.twitter.com
Itsma.com
mgronline.com
lyfemarketing.com