Google Ads (ที่เรามักจะเรียกกันในอดีตว่า Google Adword) คือ หนึ่งในเครื่องมือ ภายใต้ Search Marketing ที่จะทำให้ผู้มุ่งหวัง ค้นหาสินค้าเราเจอได้เร็วขึ้นบนโลกออนไลน์ สามารถช่วยให้ธุรกิจคุณประสบความสำเร็จ และสามารถช่วยในการสร้างยอดขายได้ เนื่องจากเป็นการซื้อ Keywords เพื่อทำให้เว็บไซต์ของคุณ ได้อยู่อันดับต้น ๆ ของการค้นหาผ่าน Google ซึ่ง ราคาที่จ่ายไปจะถูกหรือแพงนั้น ขึ้นอยู่กับ Keywords ที่คุณใช้ โดยพฤติกรรมการค้นหาสินค้าหรือบริการ ผู้คนมักจะเลือกใช้ Keywords ที่มีความเกี่ยวข้องกัน ตัวอย่างเช่น หากมีคนต้องการซื้อโทรศัพท์มือถือ ก็จะใช้ Keywords ว่า ซื้อมือถือ ,ซื้อสมาร์ทโฟน ,Smartphone เป็นต้น โดยแต่ละคนจะเพิ่ม Keywords เฉพาะ เพื่อให้ได้สินค้าที่ตรงกับความต้องการของตัวเองมากที่สุด ตัวอย่างเช่น ซื้อมือถือ ราคาถูก , สมาร์ทโฟน, ถ่ายรูปสวย, สมาร์ทโฟน ราคาถูก เป็นต้น
ที่มา ppcprotect
ในการลงโฆษณาผ่าน Google Ads ซึ่งเราต้องประมูล Keywords ที่คนใช้ค้นหาสินค้าหรือบริการของเรา เพื่อที่จะให้โฆษณาของเราไปปรากฎอยู่เมื่อมีการค้นหาเกิดขึ้นใน Search Engine ตำแหน่งของโฆษณา Google Ads นั้นจะถูกกำหนดโดยค่าประมูลที่เรียกว่าค่า “PPC” (Pay Per Click) ซึ่งเป็นราคาที่เรากำหนดไว้ว่า หากมีคนคลิกเข้าไปดูเว็บไซต์ของเราผ่านทางตัวโฆษณา Google Ads ตัวนั้น เราจะต้องจ่ายเงินให้กับ Search Engine ครั้งละเท่าไหร่ โดยหลักการคิดค่าใช้จ่ายของโฆษณา Google Ads รูปแบบ PPC หรือ Pay Per Click เมื่อโฆษณา Google Ads ขึ้นแสดงในผลการค้นหาจะยังไม่มีการเสียเงิน แต่จะเกิดการจ่ายเงินเมื่อมีคนทำการคลิกที่โฆษณา Google Ads ตั้วนั้น โดยเป้าหมายหลัก ๆ ที่คนต้องการจากโฆษณา Google Ads ประเภท PPC หรือ Pay Per Click คือ กลุ่มเป้าหมายและยอดขายที่ต้องการ และ ความคุ้มต้นทุนให้มากที่สุด โดยการโฆษณา Google Ads ประเภทนี้มีกระบวนการดังต่อไปนี้
ขั้นตอนที่ 1 : กำหนดวัตถุประสงค์ที่ต้องการจากโฆษณา Google Ads ประเภท PPC
คุณต้องตั้งเป้าหมายในการทำโฆษณา Google Ads ประเภท Pay Per Click (PPC) นี้ก่อนว่าต้องการผลลัพธ์อย่างไร
ตัวอย่าง
1. การกำหนดเป้าหมายโฆษณา Google Ads ประเภท Pay Per Click (PPC) ในธุรกิจเสื้อผ้าแฟชั่น
วัตถุประสงค์ : ต้องการเพิ่มยอดขาย
เมื่อคนต้องการค้นหาเว็บไซต์ที่มีการซื้อขายเสื้อผ้าแฟชั่น มักจะใช้ Keywords ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อโดยตรง เช่น “ซื้อเสื้อผ้า แฟชั่น” เมื่อคนค้นพบเว็บไซต์คุณในลำดับต้น ๆ ของการค้นหา ข้อความบนโฆษณา Google Ads ประเภท Pay Per Click (PPC) นั้นจะต้องอธิบายว่าเป็นธุรกิจเกี่ยวกับการขายเสื้อผ้าแฟชั่น มีสินค้าประเภทใด ราคาเท่าไหร่ รวมไปถึงนำเสนอจุดเด่นของตัวเอง ทำให้คนที่เห็นโฆษณา Google Ads ประเภท Pay Per Click (PPC) ตัวนั้นเกิดการตัดสินใจ คลิกโฆษณาเข้ามายังเว็บไซต์ เพื่อซื้อสินค้า
2 การกำหนดเป้าหมายโฆษณา Google Ads ประเภท Pay Per Click (PPC) ในธุรกิจด้านการศึกษา
วัตถุประสงค์ : ต้องการสร้าง Lead Generation (ผู้มุ่งหวัง, ว่าที่ลูกค้า)
ธุรกิจที่กลุ่มผู้มุ่งหวังยังไม่ตัดสินใจซื้อในทันที แต่ต้องการข้อมูลในการตัดสินใจ ข้อความบนโฆษณา Google Ads ประเภท Pay Per Click (PPC) ตัวนั้นควรจะมีการอธิบายถึงรูปแบบของธุรกิจ ว่าให้การศึกษาในด้านใด เหมาะสำหรับใคร และผลลัพธ์ที่ได้ เมื่อคนได้อ่านข้อความบน Google Ads ประเภท Pay Per Click (PPC) นั้นก็จะเกิดการตัดสินใจคลิกมายังเว็บไซต์เพื่อทำการลงทะเบียน หรือ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ผ่านทางหมายโทรศัพท์ที่ขึ้นแสดงบนเว็บไซต์
เมื่อมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนเราจะสามารถกำหนดได้ว่าควรใช้ Keywords แบบไหนและมีข้อความอย่างไร ในการโฆษณา Google Ads ประเภท Pay Per Click (PPC) ตัวนี้ที่เราจะทำ
ขั้นตอนที่ 2 : ตรวจสอบ Keywords ที่ผู้คนนิยมใช้ในการค้นหา
การทำโฆษณา Google Ads ประเภท Pay Per Click (PPC) เราสามารถใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบ Keywords ที่ได้รับความนิยมได้ โดยครั้งนี้เราจะขอยกตัวอย่าง 2 เครื่องมือที่ถูกสร้างจากทาง Google ซึ่งจะแสดงข้อมูลที่เกิดขึ้นใน Search Engine ที่เป็นข้อมูลอันมีค่าต่อ Google Ads ของเรา
Google Trend เครื่องมือสำหรับดูกระแสความนิยมของ Keyword ต่าง ๆ ในประเทศนั้น ๆ และเรายังสามารถดูเทรนด์ที่เกิดขึ้นประจำวันได้อีกด้วย โดยหากคุณสนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ ในบทความ “Google Trend รู้ทันเทรนด์เพื่อคอนเทนต์ที่ตรงใจลูกค้า“
Keywords Planner เครื่องมือที่ใช้สำหรับวิเคราะห์ Keywords ในการทำโฆษณา Google Ads ประเภท Pay Per Click (PPC) โดยเมื่อคุณกำหนดคำลงบน Keywords Planner เครื่องมือนี้จะสามารถบอกจำนวนการค้นหาต่อเดือนของคำ ๆ นี้ และยังมีลิสต์ของ Keyword ใกล้เคียงมาแนะนำอีกด้วย
ทั้งนี้ Keywords ที่เลือกสำหรับ Google Ads ประเภท Pay Per Click (PPC) จะเป็นตัวกำหนดที่เว็บไซต์ของเราแสดงผลบน Google เมื่อผู้คนทำการค้นหาด้วย Keywords ที่พวกเขาสนใจ การเลือกใช้ Keywords สำหรับ Google Ads ประเภท Pay Per Click (PPC) ที่ดี ควรจะครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์ของธุรกิจคุณ และสามารถตอบโจทย์วัตถุประสงค์ที่คุณกำหนดไว้ในการทำโฆษณา
ตัวอย่าง ธุรกิจขายรถยนต์มือสองที่ต้องการใช้ Google Ads ประเภท Pay Per Click (PPC)
เลือกใช้ Keywords ที่คนมักจะใช้ค้นหาเวลาต้องการซื้อรถมือสอง เช่น “ซื้อรถ มือสอง”, “รถมือสอง สภาพดี”, “รถมือสอง ราคาถูก” โดย Keywords หลักที่ใช้สำหรับ Google Ads ประเภท Pay Per Click (PPC) จะเป็น “รถมือสอง” และ ประกอบด้วย Keywords อื่น ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของผู้ค้นหาแต่ละคน ไม่ว่าเป็น “สภาพดี” “ราคาถูก” เป็นต้น โดยขึ้นอยู่กับรูปแบบสินค้าของธุรกิจว่ามีจุดเด่นทางด้านใดที่คนจะใช้ Keywords ในการค้นหาจนเจอ
ประเภทของการใช้ Keywords สำหรับ Google Ads
Generic Keywords เป็นลักษณะการใช้คำค้นหาแบบกว้าง ๆ ไม่เจาะจงแบรนด์ เช่น กาแฟกระป๋อง , ขนมชั้น , รถมือสอง , Digital Marketing เป็นต้น การค้นหาแบบ Generic Keywords เป็นการค้นหาที่บอกว่าผู้คนให้ความสนใจในเรื่องอะไร
Branded Keywords เป็นการค้นหาแบบเจาะจงแบรนด์ เช่น Steps Academy , Apple , Facebook เป็นต้น การค้นหาแบบ Branded Keywords นั้นแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่เจาะจง หมายความว่าลูกค้าต้องการที่จะรู้จักแบรนด์ของคุณ สิ่งที่ควรทำคือ การพัฒนาหน้าของเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย น่าติดตาม
Long-tail Keywords เป็นการค้นหาที่เฉพาะเจาะจงมาก ๆ ถ้าเว็บไซต์ของคุณได้ทำการซื้อ Keywords เหล่านี้ไว้สำหรับ Google Ads ประเภท Pay Per Click (PPC) จะช่วยให้โอกาสที่ลูกค้าจะมาซื้อสินค้าของคุณมากขึ้น เช่น คอร์สเรียนการตลาดออนไลน์สำหรับผู้ประกอบการ รองเท้ากีฬาสำหรับวิ่งสีดำ เป็นต้น
Competitor Keyword เป็นการนำ Keywords แบรนด์ของคู่แข่งมาใช้เป็นคำค้นหาของเรา ในลักษณะนี้เป็นการดึงกลุ่มผู้ที่สนใจในสินค้าของคู่แข่งให้เห็นเรา และ อาจจะพาไปสู่การเปลี่ยนใจได้ ตัวอย่างเช่น
คุณเปิดร้านอาหารโดยใช้ชื่อว่า A Food และมีคู่แข่งชื่อ B Food คุณทำการซื้อ Keywords สำหรับ Google Ads ประเภท Pay Per Click (PPC) ที่มีคำว่า B Food เวลาที่คนค้นหาคำว่า B Food ก็จะพบ Google Ads ที่เป็นเว็บไซต์ของคุณก่อน ซึ่งทำให้ลูกค้ากดเข้ามาเยี่ยมชม และอาจจะมาใช้บริการร้านของคุณได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเว็บไซต์ของคุณด้วยว่า มีความน่าสนใจขนาดไหน
ในกลุ่มของ Keywords ทั้ง 4 ประเภทนั้น จำเป็นต้องสอดคล้องกับหน้าเว็บไซต์ที่คุณมี
ตัวอย่าง ธุรกิจเกี่ยวกับความงาม กลุ่ม Keywords ที่ควรใช้สำหรับ Google Ads ประเภท Pay Per Click (PPC) คือ ผิวสวย หน้าใส ลดริ้วรอย ฯลฯ และที่สำคัญ คำที่คุณเลือกใช้มาเป็น Keywords ของ Google Ads จะต้องปรากฏอยู่บนหน้าเว็บไซต์ของคุณด้วย
ตัวอย่างการตรวจสอบ Keyword สำหรับโฆษณา Google Ads
หลังจากที่ได้กลุ่ม keywords ที่ต้องการจะใช้กับ Google Ads ประเภท Pay Per Click (PPC) ของเราแล้ว เราสามารถตรวจสอบได้ว่าคำที่เลือกมาควรใช้ดีหรือไม่ ด้วย Google Keyword Planner
วิธีใช้งานเบื้องต้น
ในการใช้ Google Keyword Planner เราสามารถทำได้ดังต่อไปนี้
1. เริ่มจากการเข้าไปที่เว็บไซจ์จัดการโฆษณา Google Ads ประเภท Pay Per Click (PPC) ของคุณ แล้วเข้าไปที่ “Tools” แล้วเลือก “Keyword Planner’
2. เมื่อเข้าไปแล้วเราสามารถเลือกได้ว่าต้องการจะ “หาคำใหม่” หรือ ว่าจะไปดูที่ “ข้อมูลสถิติการค้นหา”
3. กรอกรายละเอียดของ Keyword ที่คิดว่าจะมีคนค้นหาในธุรกิจที่คุณทำ จะเป็นประโยคสั้น ๆ หรือยาว ๆ ก็ได้ นอกจากนี้เรายังสามารถกำหนดข้อมูลพื้นที่ได้ รวมทั้งเว็บไซต์เรา (ไม่จำเป็น) เช่น สมมติว่าเราเป็นธุรกิจขายเสื้อผ้า เราสามารถลองหาไปได้ด้วยคำว่า “กางเกง” “กางเกงผู้หญิง” “เสื้อผ้าผู้หญิงราคาถูก” เป็นต้น
4. หลังจากใส่ข้อมูลครบถ้วน กดที่ “Get Result” โปรแกรมจะประมวลข้อมูลกลุ่มคำที่ต้องการค้นหาให้
ทั้งนี้เมื่อ Google Keyword Planner จะประมวลผลให้ และ แสดงออกมาดังตัวอย่างด้านล่าง
จากภาพด้านบนเราจะเห็นว่า Google Keyword Planner จะทำการระบุข้อมูลของ Keyword นั้น ๆ และยังมีการแนะนำคำใกล้เคียงด้วย โดยข้อมูลหลัก ๆ จะมีดังต่อไปนี้
Average Monthly Searches จำนวนการค้นหาต่อเดือน โดยเฉลี่ย
Competition ระดับการแข่งขัน
Page bid (Low & High Range) ราคาประมูลที่ต่ำที่สุด และ สูงที่สุดของคำนั้น ๆ
ข้อควรจำสำหรับการใช้ Keywords
1. Keywords ควรมีความเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์คุณ
สำคัญมากที่ Google Ads ประเภท Pay Per Click (PPC) และ Landing Page ของคุณต้องเกี่ยวข้องกัน อย่าใช้ Keyword ใน Google Ads ที่ไม่มีในเว็บคุณเพราะ Google จะลด Quality Score ของคุณซึ่งจะส่งผลต่อลำดับการปรากฏในผลการค้นหา เมื่อแน่ใจว่าโฆษณา Google Ads ประเภท Pay Per Click (PPC) ของคุณนำคนดูไปยังที่ทางที่ถูกต้อง ทั้ง Click Through Rate และ Conversion ควรจะเพิ่มขึ้น
2. ตรวจสอบการทำงานของคู่แข่ง
ศึกษาการใช้ Keywords ใน Google Ads ประเภท Pay Per Click (PPC) ของธุรกิจคู่แข่งคุณ ว่าพวกเขาใช้ Keywords อะไร และ ประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน ศึกษากลยุทธ์และนำมาปรับใช้กับการโฆษณา Google Ads ของธุรกิจเรา โดยสามารถสังเกตได้จากการค้นหาบน Google ถ้าเว็บไซต์คู่แข่งของคุณขึ้นอันดับต้น ๆ โดยการใช้โฆษณา Google Ads ประเภท Pay Per Click (PPC) แสดงว่าเขาได้ใช้ Keywords นั้นในการโฆษณา
Quality Score
Quality Score จะส่งผลให้ Ads Rank (คือลำดับเว็บไซต์ที่ทำการซื้อโฆษณา Google Ads) การที่มีลำดับที่สูงขึ้นจะส่งผลให้คนมีโอกาสกดเข้ามาดูเนื้อหาข้างในมากขึ้น ในกระบวนการทำให้ Quality Score มีอันดับที่สูงขึ้นจะต้องประกอบไปด้วย
Landing Page หากคนที่ทำการค้นหามีจุดประสงค์ คือ ต้องการซื้อสินค้า เมื่อคลิกที่โฆษณา Google Ads ประเภท Pay Per Click (PPC) แล้วพาไปยังหน้าที่ขายสินค้าที่เขาต้องการ จะช่วยให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้ในทันที เมื่อประกอบกับการที่เนื้อหาบนเว็บไซต์มีความเกี่ยวข้องกับ Keywords ที่ใช้ จะช่วยให้ Quality Score สูงขึ้น
Ad Relevance คือ การใช้คำสำหรับการโฆษณา Google Ads ประเภท Pay Per Click (PPC) ที่สอดคล้องกับ Keywords ที่คุณได้เลือกและมี Keywords คำนั้นมีอยู่ใน Landing Page ของคุณ จะส่งผลให้ CPC (Cost Per Click) หรือ ต้นทุนในการโฆษณา Google Ads ประเภท Pay Per Click (PPC) ที่เกิดขึ้นต่อคลิกลดลง และทำให้ Click-Through Rate หรือ CTR ที่เป็นตัวชี้วัดว่าโฆษณา Google Ads ของคุณน่าคลิกแค่ไหนเพิ่มมากขึ้น
สรุป
Google Ads ประเภท Pay Per Click (PPC) คือการโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มการค้นหายอดนิยมอย่าง Google จะช่วยให้เราสามารถเข้าถึงลูกค้า และ เพิ่มอันดับให้กับเว็บไซต์โดยการจะทำให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเราจะต้องคำนึงถึง “คีย์เวิร์ด” ที่จะใช้ ที่จะต้องเลือกให้เหมาะสมและเกี่ยวข้องกับสินค้า รวมทั้งการทำ Quality Score เพื่อให้โฆษณาของเราถูกแสดงในอันดับต้น ๆ
📌📌ทั้งนี้สำหรับผู้บริหาร เจ้าของกิจการ หรือ ผู้จัดการท่านใด ที่มีความต้องการอยากพัฒนาความรู้ เพิ่มพูนทักษะให้สามารถวางกลยุทธ์โฆษณาออนไลน์ได้อย่างคุ้มค่า เข้าถึงลูกค้าได้อย่างแม่นยำ วันนี้เรามีหลักสูตร Ads Optimization 101 for Management หลักสูตรที่จะทำห้คุณเป็นนักวางกลยุทธ์โฆษณาที่ดีขึ้น รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก
ที่มา kissmetrics, wordstream, square2marketin และ whitesharkmedia