4 KPIs ใน YouTube Ads ที่นักการตลาดออนไลน์ควรรู้

วิธีวัดผลโฆษณาบน YouTube

ความสำคัญของ YouTube Ads ในการดึงดูดใจกลุ่มเป้าหมายและเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจ

ในยุคที่คนลงโฆษณาบนโลกออนไลน์มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด YouTube ads ถือเป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่ทำให้ธุรกิจของเราเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น เพราะหากเปรียบเทียบกับ Google ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่มีคนใช้งานมากเป็นอันดับหนึ่งของโลกแล้ว YouTube ก็คือแพลตฟอร์มที่มีคนใช้งานมากเป็นอันดับสองรองจาก Google จึงถือได้ว่า YouTube เป็นแพลตฟอร์มที่มีศักยภาพมากหากเราเข้าใจเคล็ดลับการลงโฆษณาในนี้ค่ะ

ทั้งนี้ สิ่งที่ยากไม่แพ้การทำโฆษณาคือการวิเคราห์ระบบหลังบ้านว่าโฆษณาที่เราลงไปมีผลตอบรับดีมากน้อยแค่ไหน และควรพัฒนาในจุดใดบ้างเพื่อทำให้ดึงดูดใจกลุ่มเป้าหมาย และเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น

วันนี้ทาง STEPS Academy จึงขอแนะนำ 4 KPIs พื้นฐานที่จะช่วยให้เราวิเคราะห์ผลตอบรับของโฆษณาที่ลงไปอย่างถูกต้องตรงจุดมากขึ้น ในแคมเปญต่อจากนี้เราจะได้พัฒนาจุดที่ยังทำได้ไม่โอเคเท่าไรให้ดียิ่งขึ้นค่ะ 

ลองมาไล่ทำความเข้าใจทั้ง 4 KPIs ที่เกริ่นไปกันค่ะ

สรุป kpi ของ youtube ads

1.View Rate

มาเริ่มจากตัวชี้วัดที่เข้าใจได้ง่ายที่สุดก่อนนะคะ เพราะทุกคนคงคุ้นเคยกับคำว่ายอด View หรือยอดรับชมวิดีโอกันแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าถ้ามีจำนวนคนรับชมวิดีโอโฆษณาไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้คงต้องปรับกลยุทธ์การทำโฆษณากันใหม่ให้มียอดรับชมมากขึ้น

คำถามคือเราจะวัด View Rate ได้อย่างไรบ้าง เราจะตอบคำถามนี้ได้เมื่อเข้าใจว่าทาง YouTube มีหลักการนับยอด View อย่างไรค่ะ

ยอด view rate ใน youtube ads
รูปจาก Metrictheor

โดยทั่วไป ถ้าโฆษณาของเรามีความยาวหลายนาที อย่างน้อย ๆ คนต้องหยุดดูโฆษณาของเราให้ได้อย่างต่ำ 30 วินาที ทาง YouTube ถึงจะนับเป็น 1 View ค่ะ ในทางกลับกัน ถ้าโฆษณาของเรามีความยาวไม่ถึง 30 วินาที คนต้องดูโฆษณาของเราจนจบถึงจะนับเป็น 1 View นะคะ ซึ่งจากข้อมูลของ Unskippable Labs ระบุว่าคลิปโฆษณาที่มีความยาว 30 วินาทีจะมีจำนวนคนดูมากที่สุดค่ะ

ทีนี้พอเราเข้าใจเรื่องการนับยอด View แล้ว เรื่องต่อมาที่เราควรวิเคราะห์ให้เป็นคือ View Rate ของโฆษณาที่เราปล่อยไปได้เปอร์เซ็นต์ผลตอบรับดีมากน้อยแค่ไหนค่ะ โดยวิธีการคำนวณมีดังนี้ค่ะ

ยอดการรับชมโฆษณา / ยอดการแสดงผล x 100

เช่น ถ้ามียอดรับชมโฆษณา 200 คน ต่อยอดการแสดงผล 1,000 คน ค่า View Rate ที่ได้จะเป็น 20%ค่ะ

ทั้งนี้ ถ้า View Rate ต่ำกว่า 20% นั่นแปลว่าเราควรรีบหาทางปรับกลยุทธ์บางอย่างที่วางแผนผิดพลาดไปค่ะ เช่น เราอาจจะออกแบบช่วงเปิดโฆษณาได้ไม่น่าสนใจมากพอ หรือเราอาจจะตั้งกลุ่มเป้าหมายไม่ตรงจุดนั่นเอง

นอกจากนี้ ตัวเลข 20% ยังสำคัญเพราะว่าถ้า View Rate ต่ำ เราจะต้องจ่ายค่า Cost Per View (CPV), Cost Per Click (CPC), Cost Per Acquisition (CPA) สูงขึ้นด้วยค่ะ เพราะฉะนั้น ถ้าอยากประหยัดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาอย่าลืมกลับมาเช็ก View Rate บ่อย ๆ เพื่อปรับกลยุทธ์ให้ทันท่วงทีนะคะ

2.Click Through Rate (CTR) 

โดยปกติแล้ว ถ้ากลุ่มเป้าหมายสนใจโฆษณาของเราเขาจะคลิกไปดูข้อมูลของสินค้าหรือบริการต่อใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นอัตราการคลิกของลูกค้าจึงเป็นอีกค่าที่น่านำมาวิเคราะห์ค่ะ 

ถ้าอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ CTR คืออัตราการคลิกโฆษณาเทียบกับอัตราการเห็นโฆษณา (Impression) ค่ะ หมายความว่าถ้าคนเห็นโฆษณาเยอะแต่คลิกดูน้อย ค่า CTR จะต่ำ แต่ถ้าคนเห็นโฆษณาเยอะและคลิกดูเยอะด้วย ค่า CTR จะสูงขึ้นตาม แปลว่ายิ่งค่า CTR สูงเท่าไรยิ่งดีนะคะ

ตัวอย่าง click through rate ใน youtube ads
รูปจาก Uscreen

โดยวิธีการคิดค่า CTR มีดังต่อไปนี้ค่ะ 

จำนวนคลิก / จำนวนการแสดงผล x 100

ตัวอย่างเช่น ถ้ามีคนเห็นโฆษณาของเรา 1,000 คน แต่มีคนคลิกดูแค่ 10 ครั้ง ค่า CTR จะอยู่ที่  1% ค่ะ 

แต่ถ้าค่า CTR น้อยแบบนี้ เราอาจจะต้องปรับรูปแบบโฆษณาให้น่าคลิกมากขึ้นนะคะ เช่น ลองเปลี่ยนภาพปกคลิป (Thumbnail), เปลี่ยน Storyline, เปลี่ยน Copywrite, เปลี่ยนนักแสดงที่ใช้ให้ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น, เปลี่ยน Sound Effect หรือเสียงบรรยายโฆษณา เป็นต้นค่ะ

3.Conversion Rate

แม้ View Rate หรือ CTR ของเราจะสูง แต่ถ้า Conversion Rate ไม่ดีก็อาจแปลว่าโฆษณาเรายังได้ผลเท่าที่ควรค่ะ 

ค่า Conversion Rate จึงสำคัญตรงที่ทำให้เราเห็นว่ากลุ่มเป้าหมายคลิกดูโฆษณาของเราเท่าไรเมื่อเทียบกับยอดขายที่ได้ค่ะ ซึ่งยิ่งค่า Conversion Rate สูงยิ่งดีนะคะ เพราะแสดงว่ากลุ่มเป้าหมายคลิกชมโฆษณาและตัดสินใจซื้อสินค้าบริการเยอะนั่นเอง โดยในปี 2022 ค่าเฉลี่ยของ Conversion Rate บน YouTube จะอยู่ที่ 1.4% ค่ะ

ค่าเฉลี่ย conversion rate ใน youtube ads
รูปจาก Renolon

ในทางกลับกัน ถ้าค่า Conversion Rate ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย เราก็ควรปรับกลยุทธ์ใหม่ เช่น 

  • วิเคราะห์ว่าตั้งกลุ่มเป้าหมายในการยิงโฆษณาถูกไหม เพราะบางครั้งเราอาจจะยิงโฆษณาไปหาผู้ที่สนใจแต่ไม่มีงบประมาณในการซื้อ 
  • พัฒนาหน้า Landing Page ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและให้ปิดการขายได้ไวขึ้น 

โดยวิธีคำนวณ Conversion Rate มีดังนี้ค่ะ

ยอดจำหน่ายสินค้า / จำนวนคลิก × 100 

ตัวอย่างเช่น ถ้ามีคนคลิกโฆษณาบน YouTube ของเรา 1,000 ครั้ง แต่มีคนสั่งซื้อสินค้าจริงทั้งหมด 50 ออร์เดอร์ Conversion Rate ที่ได้จะเป็น 50 / 1,000 × 100 เท่ากับ 5% ค่ะ

4.Cost Per Acquisition (CPA)

คำว่า Acquisition ในที่นี้หมายถึงการกระทำของลูกค้าหลังจากดูโฆษณาของเรา ซึ่งการกระทำที่ว่าเป็นได้หลายอย่างนะคะ เช่น การทักแชทไปสอบถามข้อมูลสินค้าจากแอดมิน การสั่งซื้อสินค้าในเว็บไซต์ การกรอกแบบฟอร์ม การสมัครสมาชิกต่าง ๆ 

เราจะคำนวณ Cost Per Acquisition ได้จากการนำค่าโฆษณามาเทียบกับการกระทำที่เกิดจากลูกค้าหนึ่งราย เพื่อหาว่าเรามีค่าใช้จ่ายเท่าไร คุ้มค่ากับการลงทุนไหม ตามสูตรนี้เลยค่ะ

ค่าโฆษณาทั้งหมด / จำนวน Conversion

ตัวอย่างเช่น ถ้าค่าโฆษณาทั้งหมดคือ 10,000 บาท และมี Conversion 500 ครั้ง ดังนั้น ค่า CPA จะเป็น 10,000/500 เท่ากับ 20 บาทค่ะ

cost per acquisition ของ youtube ads
รูปจาก LinkedIn

ยิ่งไปกว่านั้น  ในหลาย ๆ ครั้ง Google ยังแนะนำว่าเราควรเพิ่มเงินโฆษณาอีกเท่าไร เพื่อให้ถึงเป้า CPA ที่ตั้งไว้ อย่างเช่นรูปนี้ เรายิงค่าโฆษณาที่ $300 ต่อวัน แต่ทาง Google แนะนำให้เราจ่ายค่าโฆษณาที่ $900 ต่อวัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโฆษณา

ซึ่งนอกจากจะดูข้อมูลพฤติกรรมหรือการกระทำของลูกค้าผ่านหลังบ้าน YouTube แล้ว เรายังสามารถดูข้อมูลเหล่านี้ผ่านเครื่องมือหรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ ด้วย เช่น ใช้ Google Trend ดูว่ามีคนค้นหาเกี่ยวกับแบรนด์เราบนอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ หรือเข้าไปดูว่ายอดขายของเราจาก Google Shopping Ads, Shopee, Lazada เพิ่มขึ้นเท่าไร เป็นต้นค่ะ

สรุป

จบกันไปแล้วนะคะสำหรับทั้ง 4 KPIs ที่ใช้วัดผลโฆษณาบน YouTube เราขออนุญาตสรุปแบบรวดรัด อีกครั้ง เพื่อให้ทุกคนจดจำและนำทั้ง 4 ตัวชี้วัดนี้ไปประยุกต์ใช้ค่ะ

1.View Rate

2.Click Through Rate (CTR) 

3.Conversion Rate

📣 หากคุณเป็นหนึ่งในผู้บริหาร ผู้จัดการ หรือเจ้าของกิจการที่อยากเพิ่มพูนความรู้และพัฒนาทักษะการวางกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพ STEPS Academy ขอนำเสนอหลักสูตร Digital Marketing Strategy ที่จะทำให้คุณกลายเป็นนักกวางกลยุธ์ที่ดี พร้อมกับมีความเข้าใจในกลไกการทำงานของโซเชียลมีเดียแต่ละช่องทางทั้ง Google, YouTube, Facebook และ Instagram 

อ่านรายละเอียดคอร์สเรียนเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์นี้ค่ะ 👇

https://stepstraining.co/digital-marketing-specialist

สำรองที่นั่งหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 

Facebook: Inbox STEPS Academy 

LINE OA: @STEPStraining https://lin.ee/jRRdsrN หรือโทร 065-494-6646

ที่มา

https://www.linkedin.com

https://support.google.com

 

เรียนสอบถาม คอนเทนต์นี้ คุณชอบไหมคะ

ความคิดเห็นของคุณมีความสำคัญกับเรา ขอบคุณนะคะ

Learn More

4 เทคนิคช่วยกระตุ้นยอดขายผ่าน Instagram
อัปเดตการเปลี่ยนแปลงบน Facebook ในเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2022