จนถึงตอนนี้ทุกคนคงจะเริ่มเห็นกันแล้ว ว่าธุรกิจหลายธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 เริ่มที่จะปรับตัวไปใช้ช่องทางการขายออนไลน์เพื่อเป็นทางออกในการหารายได้ในสภาวะฉุกเฉิน หลายคนอาจจะมองว่าการปรับตัวเข้าสู่ช่องทางการขายออนไลน์เป็นแค่ทางออกในระยะสั้น ที่เอามาทดแทนช่องทางออฟไลน์เท่านั้นไม่จำเป็นต้องลงทุนหรือให้ความสำคัญมากจนเกินไป ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ผิดครับ แต่ในบทความนี้ผมอยากนำเสนอข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้ทุกท่านได้เห็นความสำคัญของช่องทางออนไลน์มากกว่าที่เคยเข้าใจมา เพื่อให้ท่านได้ตัดสินใจเลือกทางรอดบนโลกออนไลน์ได้เร็วขึ้นครับ
โดยประเด็นหลักที่อยากจะนำเสนอคือเราจะพบว่าการเกิดโรคระบาดครั้งนี้ได้กลายเป็นตัวเร่ง ที่ทำให้ช่องทางการขายออนไลน์ Disrupt การขายแบบออฟไลน์อย่างรวดเร็วมากขึ้นนั่นเองครับ โดยจะเกิดขึ้นจาก 3 ปัจจัยซึ่งประกอบไปด้วยอะไรบ้างและเราควรจะทำอย่างไร ไปดูกันได้เลยครับ
ปัจจัยที่ 1 : พฤติกรรมของผู้ใช้ ที่จะเปิดใจและคุ้นเคยกับช่องทางออนไลน์มากขึ้น
การระบาดของ Covid 19 ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยในต่างประเทศได้มีการสังเกตพฤติกรรมการตอบสนองของผู้บริโภคต่อโรคระบาดครั้งนี้ ที่มีการเปลี่ยนแปลงไป ทั้งสิ่งที่ซื้อ เวลาที่ซื้อ แล้ววิธีการซื้อ ซึ่งได้ถูกนิยามเอาไว้ด้วยประโยคสั้น ๆ ว่า “From Bulk-buying to Online Shopping” หรือพฤติกรรมจากการกักตุนสู่การซื้อสินค้าออนไลน์
ที่มา : Wesley Tingey on Unsplash
โดยพฤติกรรม “From Bulk-buying to Online Shopping” นี้จะเริ่มต้นจาก Bulk-buying หรือการเริ่มกักตุนสินค้าในปริมาณมาก ๆ ซึ่งในบ้านเราก็เห็นกันได้อย่างชัดเจนกับสินค้าบางประเภทที่เกี่ยวข้องกับสุขอนามัย เช่น หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ หรือสินค้าประเภทอาหารกระป๋อง และอาหารแห้ง ซึ่งพฤติกรรมนี้เป็นผลมาจากปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Panic Buying” หรือ ปรากฏการณ์การซื้อสินค้าด้วยความตื่นตระหนกจากสภาวะกดดัน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาของผู้บริโภคจาก The University of Art London กล่าวว่าปรากฏการณ์นี้เกี่ยวข้องกับความต้องการพื้นฐานทางจิตวิทยา 3 อย่างของมนุษย์ซึ่งได้แก่
- Autonomy ความต้องการอิสระในการตัดสินใจด้วยตัวเอง หรือควบคุมการกระทำของตนเองได้
- Relatedness ความต้องการด้านความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น หรือในที่นี้คือความรู้สึกว่าตนเองกำลังทำประโยชน์ให้กับครอบครัว และคนใกล้ชิด
- Competence ความต้องการเป็นผู้ที่มีทักษะ ความสามารถ ซึ่งในที่นี้คือความต้องการที่จะเป็นผู้ที่บริโภคอย่างฉลาด ตัดสินใจซื้อได้อย่างถูกต้องและทันเวลา
ถัดจาก Bulk-buying พฤติกรรมของผู้บริโภคจะเริ่มเข้าสู่ช่วงที่ 2 หรือช่วง “To Online Shopping” ซึ่งก็คือพฤติกรรมที่ผู้บริโภคจะเริ่มหันหน้าเข้าสู่ช่องทางการซื้อสินค้าออนไลน์ซึ่งเป็นผลมาจาก 2 ปัจจัยครับ นั่นคือ
- การขาดแคลนของสินค้าจำเป็นในห้างสรรพสินค้า หรือ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งทำให้ผู้บริโภคต้องหันมาซื้อออนไลน์กันมากขึ้นโดยสถิติในประเทศสหรัฐอเมริการะบุว่า สินค้าจำพวกหน้ากากอนามัย, แอลกอฮอลล์ และถุงมืออนามัย มีอัตราการซื้อออนไลน์เพิ่มขึ้นถึง 817% และสินค้าประเภทอาหารกระป๋อง และอาหารแห้งมีอัตราการซื้อออนไลน์มากขึ้นถึง 69% และ 58% ตามลำดับ
- มาตรการและการรณรงค์ให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการออกจากบ้าน รวมทั้งหลีกเลี่ยงการไปยังสถานที่ที่แออัดเพื่อลดการระบาดของเชื้อไวรัส โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและเด็กที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ซึ่งทำให้เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใช้ช่องทางออนไลน์ในการซื้อสินค้าต่าง ๆ
โดยจุดนี้มีความน่าสนใจมากครับ เพราะมันถือเป็นโอกาสของหลาย ๆ คนที่ไม่เคยซื้อสินค้าออนไลน์ หรือ มีประสบการณ์การซ์้อสินค้าออนไลน์ที่น้อยมาก ๆ จะได้มีประสบการณ์การซ์้อสินค้าออนไลน์ที่มากขึ้น โดย IPSOS บริษัทสำรวจและวิจัยตลาดระดับโลก ได้ทำการสำรวจและพบว่า 51% ของผู้บริโภคในจีนและ 31% ในอิตาลีมีอัตราการสั่งซ์้อสินค้าออนไลน์ที่มากขึ้นในช่วงเวลาของการระบาดสำหรับสินค้าที่ปกติจะซื้อจากช่องทางออฟไลน์เท่านั้น
นอกจากนี้ในเรื่องของช่วงอายุผู้บริโภคที่ซ์้อสินค้าออนไลน์ก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตด้วยเช่นกัน โดย Emarketer.com เว็ปไซต์ข่าวสารและการวิจัยเกี่ยวกับสื่อและการตลาดออนไลน์ระบุว่ากลุ่มผู้สูงอายุที่จำเป็นต้องกักตัวอยู่ที่บ้านในช่วงเวลาของการระบาดมีโอกาสที่จะเริ่มเปิดใจและคุ้นเคยกับการซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้นจากเดิมที่เคยมองข้ามช่องทางการซื้อสินค้าออนไลน์ไป
เห็นอย่างงี้แล้วคงจะพอมองเห็นกันแล้้วใช่มั้ยครับว่าการซื้อสินค้าออนไลน์มีความน่าสนใจขนาดไหนและไม่ใช่แค่ในช่วงโรคระบาดเท่านั้นแต่มันยังเป็นตัวเลือกที่จะได้รับความนิยมมากขึ้นจากความคุ้นเคยในช่วงกักตัวอย่างแน่นอน
ปัจจัยที่ 2 : เทรนด์การ Work From Home ที่จะมีมากขึ้น
อย่างที่ทุกคนทราบกันว่า ปัจจุบันบริษัทหลายบริษัทมีการให้พนักงานทำการ Work from home เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ โดยสื่อหลายสำนักในต่างประเทศได้มีการคาดการณ์กันว่า วิกฤตการณ์ Covid 19 จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของรูปแบบการทำงานในหลายธุรกิจ
โดยในหลาย ๆ บริษัทจะเริ่มมองเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นว่าตำแหน่งใด มีความสามารถที่จะ Work from home ได้โดยที่ประสิทธิภาพในการทำงานไม่ลดลง รวมทั้งมองเห็นความสะดวกสบายจากการได้ทดลองใช้งานเครื่องมือต่าง ๆ อย่าง Zoom หรือ Trello ซึ่งตรงนี้ล่ะครับที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ที่ตำแหน่งบางตำแหน่งจะถูกปรับให้ทำงานจากที่บ้านได้ เพื่อเป็นการลดต้นทุน ค่าเช่า ค่าไฟ ของออฟฟิศได้ในอนาคต
แล้วมันส่งผลอย่างไร? เมื่อมีการ Work from Home ที่มากขึ้นแน่นอนครับว่าการออกมานอกบ้านก็แทบจะไม่ใช่เรื่องจำเป็นในชีวิตอีกต่อไป ซึ่งจะทำให้ตัวเลือกในการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
ปัจจัยที่ 3 : เทรนด์การใช้สินค้าและบริการแบบ Everything Delivery to My Home
ด้วยนโยบายการกักตัวอยู่ที่บ้าน และการ Social Distancing ทำให้หลายธุรกิจอาจจะต้องเร่งพัฒนาการใช้งานเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อรักษาความสามารถในการเข้าถึงสินค้าของลูกค้าทดแทนช่องว่างที่หายไปจากนโยบายลดการกระจายของเชื้อไวรัส ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้จะยิ่งทำให้ความสะดวกสบายที่ลูกค้าได้รับมากยิ่งขึ้นจนอาจเกิดเป็นเทรนด์การใช้สินค้าและบริการแบบ Everything Delivery to My Home ตามมาได้ โดยวันนี้ผมจะขอยกตัวอย่างบางเทคโนโลยีที่มีความสามารถในการทดแทนช่องว่างที่ขาดหายไปจากการสูญเสียช่องทางการขายออฟไลน์ โดยจะขอเริ่มจาก Augmented Reality หรือเทคโนโลยี AR ที่เราคุ้นเคยกันนั่นเอง
Augmented Reality คืออะไร? สำหรับบางคนที่อาจจะยังไม่เคยได้ยินคำนี้ Augmented Reality หรือ AR คือเทคโนโลยีที่ผสานโลกความเป็นจริงเข้ากับโลกเสมือนจริง ด้วยการแสดงภาพวัตถุต่าง ๆ แบบ 3 มิติอยู่บนพื้นผิวของโลกความเป็นจริง โดยจะแสดงออกมาผ่านทางหน้าจอ เทคโนโลยีนี้เริ่มได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้น ด้วยสาเหตุที่มันสามารถสร้างประสบกาณ์ที่แปลกใหม่ และสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้ ซึ่งจากสถิติของ InvespCRO ระบุว่า 33% ของตัวอย่างเลือกที่จะซื้อสินค้าบนช่องทางออนไลน์บ่อยขึ้นจากการมีอยู่ของ AR บนช่องทางออนไลน์ และ 73% ของกลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจกับประสบการณ์การใช้งาน AR
โดยในสภาวะปัจจุบันที่การออกไปนอกบ้านเพื่อลองสินค้าเป็นเรื่องที่เกินความจำเป็น คาดว่าเราจะได้เห็นหลาย ๆ แบรนด์เริ่มใช้เทคโนโลยี AR กันมากขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าอย่างแน่นอน
แบรนด์ Sephora ที่ให้คุณลองเครื่องสำอางค์ได้ผ่าน AR
อีกเทคโนโลยีที่น่าจับตามองในการนำมาใช้ในตลาดการขายสินค้าออนไลน์ก็คือการใช้โดรนเพื่อการขนส่งสินค้านั่นเอง โดยในปัจจุบันได้เริ่มมีการทดลองพัฒนาการใช้โดรนเพื่อการขนส่งที่มากขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือ สตาร์ทอัพสัญชาติเยอรมันอย่าง Wingcopter ซึ่งได้มีการจับมือกันกับบริษัทชั้นนำด้านการขนส่งอย่าง UPS เพื่อร่วมพัฒนาโดรนรุ่นใหม่เพื่อนำมาใช้ในการจัดส่งสินค้าในอเมริกาและทั่วโลก ซึ่งในสภาวะโรคระบาดเช่นนี้ เราอาจจะได้เห็นการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้เพื่อลดการสัมผัสระหว่างผู้คนได้นั่นเอง
โดรนที่ได้รับการพัฒนาจาก Wingcopter และบริษัทชั้นนำด้านการขนส่งอย่าง UPS
ที่มา : https://techcrunch.com
ด้วยสภาวะการระบาดของเชื้อไวรัสในปัจจุบันอาจทำให้มีการเร่งพัฒนาการใช้งานเทคโนโลยีเหล่านี้ในการขายสินค้าออนไลน์มากยิ่งขึ้นซึ่งเชื่อได้เลยว่ามันจะยิ่งเร่งให้การซื้อขายสินค้าออนไลน์ Disrupt ช่องทางดั้งเดิมได้เร็วขึ้นจนอาจเกิดเป็นเทรนด์ที่ทุกคนใช้สินค้าและบริการแบบ Everything Delivery to My Home
แล้วเราควรทำอย่างไร?
จนถึงตอนนี้เราคงจะเห็นภาพกันชัดมากขึ้นแล้วนะครับว่าทำไมการขายออนไลน์ถึงได้มีความสำคัญในปัจจุบันและนับเป็นโอกาสสำคัญที่คุณจะสามารถต่อยอดธุรกิจของคุณได้ในอนาคต
ที่มา
Bangkokpost
Bigcommerce.com
Blog.odoscope.com
Deliverect.com
Emarketer.com
Ipsos.com
Socialmediatoday
Theblog.adobe.com
Techcrunch.com
Theguardian