เคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมการใช้ภาพโฆษณาบน Facebook ในแต่ละธุรกิจจึงเกิดผลลัพธ์แตกต่างกันออกไป บางธุรกิจอาจมีการใช้ภาพโฆษณาที่สวยงาม ให้ข้อมูลที่ครบถ้วน แต่การเข้าถึงของผู้ใช้ Facebook กลับน้อยกว่าที่ควรจะเป็น บางธุรกิจอาจใช้โฆษณาที่เข้าถึงคนเป็นจำนวนมาก แต่ผู้ใช้กลับไม่สนใจที่จะคลิ๊กเพื่อดูข้อมูล เนื่องจากขนาดภาพที่ไม่เหมาะสมทำให้เนื้อหาที่แสดงไม่ครบถ้วน รวมถึงการออกแบบที่ขาดแรงดึงดูด
วันนี้ทีมงานของ STEPS Training จะมาแบ่งปันเรื่องการทำภาพสำหรับการโฆษณาบน Facebook ที่ทุกคนเห็นจนต้องหยุดดูการทำภาพเพื่อโฆษณา ตั้งแต่พื้นฐานที่ควรรู้ เครื่องมือช่วยในการออกแบบ รวมถึงข้อควรรู้ในการใช้ภาพโฆษณาที่หลายคนมักจะมองข้ามไปคือ การใช้ภาพโฆษณาที่ควรมีข้อความอักษรน้อยกว่า 20%
องค์ประกอบที่ 1 : Size Does Matter
คำนึงถึงขนาดของรูปภาพที่เหมาะสมสำหรับการโฆษณา
การใช้งานบน Facebook โดยปกติแล้ว พฤติกรรมการเล่นของผู้บริโภคจะมีการอัพเดทข้อมูลข่าวสารอย่างรวดเร็ว การใช้ภาพที่ดีมีส่วนสำคัญที่จะดึงดูดความสนใจของผู้ใช้งานได้ การวางขนาดของภาพให้พอดีเป็นกลยุทธ์สำคัญที่เป็นด่านแรกเพื่อให้คนหยุดอ่านเนื้อหาที่ต้องการจะสื่อสารออกไป เพราะการใช้ภาพโฆษณาบน Facebook จะมีการกำหนดขนาดและสัดส่วนภาพที่แน่นอน หากเราใช้ภาพที่สัดส่วนผิดเพี้ยนไปจากที่กำหนด จะส่งผลให้ภาพถูกยืดหรือบีบลงจากที่ควรจะเป็น ทำให้เกิดการสื่อสารข้อความที่ไม่ชัดเจนหรือคลาดเคลื่อนไปจากที่ควรจะเป็น และยังส่งผลต่อความน่าเชื่อของธุรกิจได้
ภาพที่ 1
ภาพที่ 2
ตัวอย่าง
ภาพที่ 1 : กำหนดขนาดและสัดส่วนถูกต้องภาพจึงแสดงออกมาได้พอดี
ภาพที่ 2 : กำหนดขนาดและสัดส่วนผิดทำให้ภาพบิดเบี้ยว
รูปแบบการใช้โฆษณาบน Facebook ถูกแบ่งเป็น 5 รูปแบบ
- Single image : โฆษณาด้วยรูปเดียว
- Single video : โฆษณาด้วยวิดิโอ
- Carousel : โฆษณาด้วยชุดรูปภาพ 2-10 ภาพ
- Slideshow : โฆษณาด้วยภาพชุดแบบฉายวนลูป
- Collection : รวมภาพและวิดีโอหลายชิ้นในโฆษณาแบบเต็มจอ รองรับแบบอินเทอร์แอคทีฟด้วย
โดยในวันนี้จะขอแนะนำทั้งหมด 2 รูปแบบ ได้แก่ Single Image กับ Carousel
01 Single Image
รูปแบบโฆษณาพื้นฐาน ที่สามารถพบเห็นได้มากที่สุด
ขนาดภาพ : 1,200 x 628 pixels
สัดส่วนภาพ : 1.91:1
02 Carousel
รูปแบบโฆษณา ที่ใส่ภาพประกอบหลายภาพรวมไปถึงวิดีโอน่าสนใจ
ขนาดภาพ : 1,080 x 1,080 pixels
สัดส่วนภาพ : 1:1 (สี่เหลี่ยมจัตุรัส)
ไฟล์รูปภาพที่ใช้ในการโฆษณา ตั้งค่าการแสดงสีในแบบ RGB ที่ความละเอียด 72dpi ซึ่งเป็นความละเอียดที่เหมาะสมสำหรับการแสดงบนหน้าจอ ควรเซฟในรูปแบบเว็ปไซต์ (Save for web) เพื่อให้ง่ายสำหรับการอัพโหลดและเพื่อให้ได้การแสดงผลที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด
องค์ประกอบที่ 2 : Color does matter
ออกแบบโฆษณาให้มีเอกลักษณ์และน่าดึงดูด
เลือกใช้โทนสีอย่างไร
การเลือกใช้สี เป็นอีกหนึ่งในกลยุทธ์ที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจ ในเนื้อหาที่คุณต้องการจะสื่อออกไปได้ นอกจากนี้ยังช่วยแสดงถึงตัวตนของธุรกิจไปยังผู้บริโภคได้อย่างถูกต้อง สำหรับการเลือกใช้สี ไม่ว่าจะเป็นสีของตัวอักษรหรือว่าสีของตัว พื้นหลังของภาพ หากธุรกิจของคุณมีภาพลักษณ์ที่ชัดเจนอยู่แล้ว เพียงแค่คุณเลือกใช้สีที่ตรงกับภาพลักษณ์นั้น จะช่วยให้เกิดการดึงดูดและจดจำได้ เมื่อกลุ่มเป้าหมายผู้ใช้งาน Facebook เห็นโฆษณาอีกครั้ง
สำหรับธุรกิจที่พึ่งเริ่มก่อตั้งโดยยังไม่มีการกำหนดภาพลักษณ์ที่ชัดเจน หรือต้องการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ที่มีอยู่ให้เหมาะสม คุณสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับจิตวิทยาการใช้สีได้ที่บทความบนแฟนเพจของเรา
ความหมายของสีต่างๆ
ข้อควรระวังในการใช้สี
1. สีที่เลือกมาทำให้มองเห็นสิ่งที่ต้องการจะสื่อออกไปหรือไม่
2. ใช้สีที่ดูแล้วทำให้เกิดอาการปวดตา หรือแสบตาหรือไม่
3. ใช่สีที่ไม่ได้สื่อความหมาย ตัวตนของแบรนด์หรือไม่
ยกตัวอย่าง ในส่วนสีที่สื่อความหมายตัวตนของแบรนด์ ถ้าเป็นแบรนด์ที่เน้นในเรื่องของการรักสุขภาพ Healthy สีที่ใช้ควรจะเป็นลักษณะโทนสีเขียวที่ทำให้ดูสดใส ไม่ควรใช้สีแดงสด เพราะจะทำให้ตัวตนที่บ่งบอกถึงความเป็น Healthy หายไป
สำหรับคนที่ยังไม่มั่นใจว่าจะเลือกใช้สีอะไรบ้างในการทำภาพเพื่อโฆษณา Colorsupply เป็นตัวช่วยที่ทำให้การเลือกใช้สีของคุณเป็นเรื่องที่ง่าย
เลือกใช้ตัวอักษรที่เหมาะสมกับภาพลักษณ์ธุรกิจและข้อความชัดเจน
การเลือกฟอนต์ควรเลือกให้ตรงกับตัวตนของแบรนด์ หรือเลือกใช้ฟอนต์ที่อ่านง่าย การจัดวางตำแหน่งของตัวอักษรก็มีความสำคัญเช่นกัน เพราะยิ่งทำให้อ่านและเข้าใจง่ายมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะทำให้ผู้บริโภคสนใจและตัดสินใจซื้อหรือใช้บริการจะมีมากขึ้น
ตัวอย่างการใช้ตัวอักษรที่เหมาะสม มีการใช้สีที่ตัดกับพื้นหลังชัดเจน จัดวางอย่างเป็นระเบียบ
ตัวอย่างการใช้ตัวอักษรที่ไม่เหมาะสม สีของตัวอักษรกลืนไปกับที่พื้นหลัง ทำให้สื่อสารข้อความไม่มีประสิทธิภาพ
เครื่องมือสำหรับช่วยในการออกแบบรูปภาพ โดยไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐาน
สำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานทางด้านโปรแกรมออกแบบ อย่างเช่น Adobe Photoshop, Adobe Illustrator สามารถใช้เครื่องมือที่ชื่อ Canva ซึ่งเป็นเว็ปไซต์สำหรับงานออกแบบสำเร็จรูป ที่สามารถใช้โครงสร้างงานออกแบบในการสร้างรูปภาพโฆษณาของคุณได้ในทันที โดยที่ไม่ต้องมีพื้นฐาน ด้วยการใช้งานที่ง่ายเพียงแค่ลากและวาง มีความยืดหยุ่นสูงคุณสามารถแก้ไขภาพให้ตรงกับความต้องการของตัวเองให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเปลี่ยนภาพพื้นหลัง ใส่ฟอนต์ ใส่รูป รวมถึงมีกราฟิก ไอค่อน มากมายให้ลองเลือกใช้ และยังสามารถอัพโหลดภาพของคุณเองเพื่อใช้งานบนเว็บไซต์ได้ในทันที
องค์ประกอบที่ 3 : ตรวสอบให้ดี!! ว่าข้อความตัวอักษรบนโฆษณาเกิน 20% ของรูปภาพหรือไม่
ทำไมจึงไม่ควรใช้ข้อความตัวอักษรบนโฆษณาเกิน 20%
การใช้รูปภาพในการโฆษณาบน Facebook เคยมีข้อบังคับในการห้ามใช้ข้อความตัวอักษรบนโฆษณาเกิน 20% เนื่องจาก Facebook ได้ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้ใช้เป็นหลัก หากผู้ใช้งาน Facebook ถูกบังคับให้เห็น New Feed ที่เต็มไปด้วยตัวอักษรหรือข้อความบนโฆษณา อาจจส่งผลกระทบต่อความพึงพอใจในการใช้งานได้ แต่สำหรับนักการตลาดหรือผู้ประกอบการที่ถูกข้อจำกัดนี้บังคับ ได้ส่งผลให้รูปแบบโฆษณานี้ไม่ได้ความนิยม ซึ่งต่อมาทาง Facebook ได้ประกาศยกเลิกกข้อบังคับ เรื่องการใช้ข้อความบนภาพโฆษณา ไม่เกิน 20% ส่งผลให้เกิดการใช้ภาพโฆษณาในการทำการตลาดได้มากขึ้น ธุรกิจหรือแบรนด์มีอิสระในการใช้รูปภาพโฆษณาโดยไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของข้อความตัวอักษร
แต่การแสดงผลของภาพโฆษณาต่อกลุ่มเป้าหมาย ยังคงถูกจำกัดไว้โดยอัลกอริทึมของ Facebook หากมีการใช้ตัวอักษรที่มากเกินกำหนดจะส่งผลให้การเข้าถึงโฆษณาลดลง
หลักการตรวจสอบข้อความบนภาพโฆษณา
ข้อความบนภาพโฆษณา ประกอบไปด้วย
- ข้อความที่ซ้อนทับบนรูปภาพ
- โลโก้ที่มีข้อความเป็นส่วนประกอบ
- ลายน้ำที่ใช้ในรูปภาพของโฆษณาการใช้รูปภาพโฆษณาให้เกิดประสิทธิภาพสูงที่สุด ควรจะมีข้อความตัวอักษรในปริมานน้อยหรือไม่มีเลย หากจำเป็นต้องใช้ข้อความตัวอักษร ควรใช้ในขนาดที่เล็ก และจำกัดจำนวนคำให้น้อยที่สุด
โดยโฆษณาที่ประกอบด้วยข้อความจะถูกแบ่งออกเป็น 4 ระดับดังต่อไปนี้ โดยคุณทำการสามารถทดสอบรูปภาพโฆษณาได้ที่นี่ https://web.facebook.com/ads/tools/text_overlay ในการใช้งาน เพียงแค่คุณทำการอัพโหลดรูปภาพที่ใช้ในการโฆษณาขึ้นไปบนเว็บไซต์ และรอการประเมินผลลัพธ์ว่าภาพโฆษณาของคุณอยู่ในระดับใด โดยจะแบ่งออกเป็น 4 ระดับ
ระดับที่ 1
OK / เหมาะสม
รูปภาพจะประกอบด้วยข้อความตัวอักษรน้อยกว่า 20% จากอัตราส่วนภาพทั้งหมด การเข้าถึงโฆษณาจะอยู่ในระดับปกติ
ระดับที่ 2
Low / ต่ำ
รูปภาพจะประกอบด้วยข้อความตัวอักษร 20-30% จากอัตราส่วนภาพทั้งหมด ส่งผลให้การเข้าถึงของโฆษณาลดลงเล็กน้อย
ระดับที่ 3
Medium / ปานกลาง
รูปภาพจะประกอบด้วยข้อความตัวอักษร 30-50% จากอัตราส่วนภาพทั้งหมด ส่งผลให้การเข้าถึงของโฆษณาลดลงอย่างมาก
ระดับที่ 4
High / สูง
รูปภาพจะประกอบด้วยข้อความตัวอักษรที่มากกว่า 50% ขึ้นไป จากอัตราส่วนภาพทั้งหมด ส่งผลให้ไม่สามารถเข้าถึงโฆษณาได้
ในการใช้รูปภาพโฆษณา ยิ่งข้อความตัวอักษรในภาพมากเท่าใด จะส่งผลให้การเข้าถึงโฆษณา (Reach) ของผู้ใช้ลดน้อยลงตามไปด้วย เพื่อควบคุมไม่ให้เกิดการใช้โฆษณาที่มีข้อความตัวอักษปรากฎบนหน้า News Feed ของผู้ใช้งานมากเกินไป โดยจะต้องเสียเงินค่าโฆษณามากขึ้น เพราะเมื่อผู้ใช้งาน Facebook สามารถเข้าถึงโฆษณาได้น้อยลงทำให้ค่า CPM (Cost Per Impression) เพิ่มขึ้น จึงเห็นได้ว่าการจำกัดข้อความตัวอักษรให้ไม่เกิน 20% นอกจากจะช่วยให้เข้าถึงผู้ใช้งานได้มากขึ้น ยังช่วยให้คุณสามารถประหยัดค่าใช้จ่าย และได้ใช้โฆษณาอย่างมีประสิทธิภาพ
Source :
- https://www.jonloomer.com/2016/06/08/facebook-text-rule-ads-change/
- https://instapage.com/blog/facebook-20-text-rule
- https://adespresso.com/blog/breaking-news-facebook-changes-20-text-rule/