“พักให้เป็น” Work-Life Balance เริ่มต้นง่ายๆ ที่ตัวเรา

rest-for-work-life-balance

เคยรู้สึกไหมว่า ตั้งแต่เข้าสู่ช่วงวัยทำงานมาเนี่ย เรามีเวลาให้กับตัวเองน้อยลง เรามีเวลาให้กับงานอดิเรกที่เราชอบน้อยลง อย่างแอมเองเป็นคนชอบถ่ายรูป ตั้งแต่ทำงานมา แอมมีเวลาจับกล้องตัวโปรด ออกไปสู่โลกกว้างน้อยลง นั่นเพราะตลอดทั้งวันของชีวิต อยู่กับงานทั้งหมด ตอกบัตรเข้างานตั้งแต่เช้า เลิกงานกลับดึก ชีวิตวนลูปแบบนี้ จนไม่มีเวลาชีวิตของตัวเอง ซ้ำยังพอถึงเวลาพักจริงๆ ก็หนีไม่พ้นที่จะคิดเรื่องงาน

มาถึงตอนนี้ก็เลยตั้งคำถามกับตัวเองว่า “สุดท้ายแล้ว การทำงานหนัก หามรุ่งหามค่ำ” ตอบโจทย์ความสุขในชีวิตของเราจริงๆหรือเปล่า?

แต่ก็นะ งานคือเงิน เงินคืองาน อันนี้เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ชีวิตเราคงแฮปปี้กว่ามาก ถ้ามีเวลาเหลือๆให้กับอะไรก็ตามที่มีความสุข ง่ายๆก็คือมี “Work-Life Balance” อย่างที่ใครๆพูดกันนั่นแหละ

rest-for-work-life-balance

 

ถึงตรงนี้เชื่อว่าหลายคนคงคิดว่า “อยากพักนะ แต่งานยังไม่เสร็จเลย” ประเด็นนี้เราอาจจะต้องโฟกัสไปที่การบริหาร จัดการเวลาในการทำงานของเราเองให้ดีขึ้น รวดเร็วขึ้น และดีขึ้นก่อน เพื่อมีเวลาเหลือๆไปใช้ชีวิตในแบบของตัวเองบ้าง

แต่อีกด้านหนึ่งก็มีหลายๆคน ที่งานสามารถเข้ามาได้ตลอดเวลาของชีวิตแม้ในวันหยุด เนื่องด้วยทุกวันนี้เราสามารถทำงานผ่านมือถือ สามารถโทรศัพท์หากันได้ง่ายๆ อ่านอีเมลได้ตลอดเวลา แบบสบายๆ ทำให้พอถึงเวลาพักเข้าจริงๆ ก็หนีไม่พ้นจะหยิบมือถือ หยิบโน้ตบุ๊กขึ้นมาทำงานสักหน่อย 

มาถึงจุดนี้ อยากให้ทุกคนเปิดใจ ปล่อยวางว่า “จริงๆการพักบ้าง” ก็ไม่ผิดนะ บางทีอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะบางครั้งเราทำงานหนักเกินไป จนเครียด ร่างกายอ่อนเพลีย อ่อนล้า สุดท้ายก็ส่งผลไม่ดีต่อประสิทธิภาพการทำงานอยู่ดี

การ “อนุญาตให้ตัวเองพัก” จึงเป็นเรื่องที่เรามักจะมองข้ามความสำคัญของมันไป อาจจะงงๆว่า การพักนี่ต้องอนุญาตตัวเองด้วยเหรอ?

ใช่ค่ะ ที่แอมใช้คำนี้เพราะเชื่อว่าหลายครั้งที่เราบอกตัวเองว่าเราควรพัก เราได้ “อนุญาตตัวเองให้ไปพักจริงๆหรือเปล่า” อันนี้ลองทบทวน และตอบคำถามตัวเองดูนะ มันเป็นเรื่องสำคัญ และสำคัญมากๆต่อชีวิตจริงๆ เราจะต้อง “พักให้เป็น” พักให้เป็นในที่นี่หมายถึง…

เวลาพัก ไม่คิดเรื่องงาน!

เมื่อพูดถึงหัวข้อนี้ ก็อดไม่ได้ที่หยิบซีรีย์ที่กำลังฮิตอยู่ในตอนนี้อย่างเรื่อง “รักฉุดใจ นายฉุกเฉิน” ขึ้นมาพูดสักหน่อย ไม่รู้ว่าทุกคนรู้จักหรือเปล่า แอมจะเล่าคร่าวๆให้ฟัง เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของคู่รัก ที่คบกันมา 15 ปี คือหมอเป้ง และทานตะวัน ทั้งคู่รักกันมาก คบกันมานาน แต่ติดตรงที่หมอเป้งนั้น รักงานเท่าชีวิต ทุกลมหายใจเป็นงานทั้งหมด แม้กระทั่งเวลาน้อยนิดที่จะได้อยู่กับทานตะวันซึ่งเป็นคนรักยังแทบไม่มีเลย และเมื่อขาดเวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน แม้ตัวจะใกล้กัน แบบนี้นานๆเข้า ก็เลยทำให้ทานตะวันเผลอใจไปรัก น้องหมอฉลาม ที่เข้ามาดูแล ห่วงใย แบบไม่รู้ตัว ซึ่งผลสุดท้ายใครกันที่เสียใจที่สุด คนนั้นก็คือหมอเป้งเองนั่นแหละค่ะ 

แน่นอนซีรีย์นี้สอนเราว่า เรารักงาน ทุ่มเทกับงานได้ แต่เราอย่าลืมใส่ใจคนรอบข้างด้วย เมื่อถึงเวลาพัก ต้องไม่นำเรื่องงานเข้ามาเบียดเวลาชีวิตของเรา และครอบครัวไปจนหมด “ถ้าคิดจะพัก อย่าคิดเรื่องงาน” ตอนดูละครเราก็คงอินกันมากๆ และต่อว่าหมอเป้งว่าทำไมเอาเวลาไปใส่ใจงานจนหมดแบบนี้ (จุดนี้คนเขียนก็อินเหมือนกัน5555) แต่ดูละครก็ต้องย้อนดูตัวเองด้วย ว่าเราเคยเผลอทำแบบนั้นกันบ้างหรือเปล่า?

rest-for-work-life-balance

ที่มา : NadaoBangkok

มองในมุมอื่นๆ บางครั้งการที่เราไม่สามารถหยุดคิดเรื่องงานได้เลยนั้น ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะ กิจกรรมที่เราทำในช่วงพัก ไม่ได้ให้ความสุขกับเราจริงๆ ซึ่งตรงกับข้อต่อไปเลยนั่นก็คือ

 

หางานอดิเรกที่ทำแล้ว “มีความสุข” ให้เจอ

แน่นอนความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ยิ่งสังคมปัจจุบันนี้ ชอบทำอะไรก็ตามที่ทำแล้ว คนอื่นจะมองว่ามันดูดี ทำแล้วคนจะชมเราเยอะ ทำให้หลายครั้ง เราก็เผลอไผลไปทำอะไร ที่เราไม่ได้มีความสุขกับมันจริงๆ กลายเป็นว่าช่วงเวลาว่างของเราถูกใช้ไปเพื่อตอบสนองความสุขของคนอื่น แต่ไม่ได้เติมเต็มความสุขจริงๆของเรา ก็ไม่แปลกที่มันจะดึงยาว มาถึงช่วงเวลางาน ให้เราโหยหาเวลาพักอีก

การหางานอดิเรกที่ชอบจริงๆ จึงสำคัญมากๆ ลองตั้งคำถามกับตัวเอง ว่าอะไรที่เราทำแล้วชอบ หรือมีความสุขกับมัน อย่างแอมชอบถ่ายรูป แอมมีความสุข กับการจับกล้องตัวโปรดออกไปนู่นนี่ ถ่ายวิถีชีวิต ภาพสวยบ้าง ไม่สวยบ้าง แต่แอมก็มีความสุข ทุกครั้งที่กดชัตเตอร์ อย่างรูปด้านล่างที่เห็นกัน

rest-for-work-life-balance rest-for-work-life-balance

ดังนั้นหางานอดิเรกที่เราอินกับมันจริงๆให้เจอ โดยไม่ต้องสนใจหรอกว่า จะถูกใจสายตาใครๆหรือเปล่า ลองเริ่มจากสิ่งที่เราเคยชอบ หรือไม่ก็ลองทำอะไรใหม่ๆ อย่างทำอาหาร, ทำขนม, ออกกำลังกาย, เล่นดนตรี, ร้องเพลง, เต้น, อ่านหนังสือ, ปลูกต้นไม้, ท่องเที่ยว อะไรก็ได้ที่เราชอบ มีอะไรอีกมากมายที่ถ้าได้ลองทำแล้ว เราอาจจะหลงใหลไปกับสิ่งนั้นโดยที่เราไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้ 

อย่างเพื่อนที่รู้จักของแอมคนหนึ่ง รักธรรมชาติ ชอบสร้างที่พัก สร้างบ้านจากดิน สร้างเตาผิงแบบต่างๆจากดิน นั่นก็เป็นความสุขในแบบของเขา บางคนชอบนั่งในร้านกาแฟเฉยๆ จดบันทึกสิ่งที่เห็นรอบๆตัว บันทึกความรู้สึกต่างๆ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว

แต่ไม่เป็นไรนะ ถ้ายังหาสิ่งที่หลงใหลไม่เจอ ขอให้ลองต่อไป ทุกวันนี้มีคอร์สให้เราลองฝึก ลองทำอยู่เยอะเต็มไปหมด ยิ่งในโลกออนไลน์ ที่ไม่เคยปิดกั้นความรู้ มีทั้งเว็บไซต์ เพจ บล็อกในโซเชียลมีเดีย ซึ่งเราสามารถเรียนรู้ได้ง่ายมากๆ แค่ลองหาเวลา กลับไปทำอะไรที่เคยทำแล้วชอบ หรือลองทำอะไรใหม่ๆจากแหล่งเหล่านั้นดู 

สิ่งสำคัญคือ อย่าลืมทำในสิ่งที่เราชอบ ไม่ใช่คนอื่นชอบ ไม่ผิดที่เราจะชอบทำสวน ทำไร่ ปลูกดอกไม้ ต้นไม้ในเวลาว่าง ไม่ผิดที่เราจะชอบอ่านหนังสืออยู่เฉยๆในห้อง ไม่ผิดที่เราจะทำอะไรที่เราอยากทำ

จงตักตวงช่วงเวลาของความสุข เอาไว้เติมเต็มในช่วงเวลาที่เราขาดความสุขบ้าง

rest-for-work-life-balance

 

คิดจะพัก..ต้องเต็มที่ไปกับมัน

พักทั้งทีต้องเต็มที่ไปกับมัน แอมเป็นคนนึงที่ชอบเดินป่า ขึ้นเขามากๆ ใช่..มันเหนื่อย..กลับมาแล้วปวดเมื่อยตัวไปหมด ปวดไปหลายวันด้วย 😂 แต่ทุกครั้งที่แอมได้เดินป่า เดินขึ้นเขา แอมสนุกไปกับมันมากๆ แม้ก่อนขึ้นจะมีความรู้สึกที่ว่า จะขึ้นไหวไหม จะทำได้ไหม แต่แน่นอน มาถึงแล้วต้องเต็มที่ ไปให้สุด ทำให้ได้ 

และเมื่อเรามาถึงยอดเขาได้จริงๆ เราจะรู้สึกดีใจที่ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง และยิ่งรู้สึกคุ้มค่าที่เราเต็มที่กับมัน เมื่อมาถึงยอดเขาแล้วได้เจอแสงอาทิตย์ยามเย็นที่ทอแสงสวยงาม อากาศดีๆ ลมเย็นๆ บอกเลยว่าความรู้สึกเหล่านี้เล่าผ่านตัวอักษรคงไม่สามารถเข้าใจได้แน่นอน ถ้าไม่ได้ลองมาสัมผัสเอง

rest-for-work-life-balance

ภาพเหล่านั้น บรรยากาศเหล่านั้น มันทำให้แอมสามารถลืมความเครียด ทิ้งความทุกข์ไว้ข้างหลัง และพร้อมที่จะยินดีกับความสุขที่ปรากฎอยู่ข้างหน้าเราเหล่านั้น 

และแอมคงเสียดายมากๆ ถ้าการมาพักครั้งนั้นไม่เต็มที่กับมันจริงๆ ไม่ซึมซับบรรยากาศดีๆที่อยู่ข้างหน้า หรือทำแค่นอนอยู่ในเต็นท์รอวันกลับเฉยๆ มันคงรู้สึกค้างคาในใจ สุดท้ายมันก็เหมือนกับการพักแบบไม่สุด เพราะเราไม่เต็มที่กับมัน 100%

rest-for-work-life-balance

และแน่นอนเมื่อเราพักไม่เต็มที่ มันก็ส่งผลต่อเวลางานของเรา ที่มันก็จะไม่เต็มที่ตามไปด้วย

ดังนั้นถ้าคุณหางานอดิเรกที่ทำแล้วมีความสุขเจอ อย่าลืมที่จะสนุกให้สุด เต็มที่ไปกับมัน ดื่มด่ำไปกับมัน แล้วเราจะกลับมาจากการพักอย่างอิ่มเอมใจ และพร้อมทำงานในวันต่อๆไปได้ดีขึ้น

 

ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องรีบ

เขียนมาถึงตรงนี้ บางคนอาจจะบอกว่า “พูดง่ายแต่ทำยากนะ” แน่นอนชีวิตจริงมันเป็นแบบนั้น มันไม่ง่ายหรอกที่เราจะทำให้ตัวเองไม่คิดเรื่องงาน ทั้งๆที่หัวมันพยายามจะคิด สิ่งสำคัญที่เราทำได้คือ เริ่มต้นลงมือทำ อย่างค่อยเป็นค่อยไป อันนี้ใช้ได้กับทุกข้อที่ผ่านมานะ บางคนอาจจะยังหาอะไรที่เราหลงใหล ชื่นชอบกับสิ่งนั้นจริงๆ ยังไม่ได้ ไม่เป็นไร ลองไปทีละอย่าง ค่อยเป็น ค่อยไป เมื่อเราได้เริ่มลองทำอะไรหลายๆอย่าง ประสบการณ์จะชี้ให้เราเห็นว่าลึกๆแล้ว เราชอบแบบไหนมากกว่ากัน 

แม้กระทั่ง การจัดการความคิดเรื่องงาน เริ่มแรกจากที่เราแทบไม่ได้พักแม้ในวันหยุดเลย ลองแบ่งเวลา อาจจะเริ่มจาก 2-3 ชั่วโมงในวันหยุด ทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่งานดูบ้าง แล้วค่อยขยับเป็นครึ่งวัน ค่อยๆขยับไปทีละนิด ให้ชีวิตค่อยๆปรับตัว แม้ช่วงเริ่มต้นมันอาจจะดูเล็กน้อย แต่อย่างน้อยเราก็ได้เริ่มเพื่อตัวเราเองแล้ว ก็ถือเป็นก้าวแรกที่ดี ลองเริ่มดูนะคะ

rest-for-work-life-balance

 

สม่ำเสมอ 

ข้อสุดท้ายนี้สำคัญไม่แพ้กัน สิ่งที่เราเริ่มมาทั้งหมด มันจะไม่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราได้เลย ถ้าเราไม่ทำอย่างสม่ำเสมอ เหมือนเวลาเราออกกำลังกาย เราก็ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ถึงจะเห็นผลลัพธ์ของมัน ซึ่งก็คือน้ำหนักที่ลดลงไป สุขภาพที่แข็งแรงขึ้น 

เช่นเดียวกัน ถ้าเราเริ่มที่จะ “พักให้เป็น” อย่างที่กล่าวไป ต้องทำอย่างสม่ำเสมอด้วย ไม่ใช่ว่าเริ่มแบ่งเวลาพักได้อาทิตย์เดียวก็ล้มเลิกไปเสียแล้ว ชีวิตเราก็จะวนลูปแบบเดิมๆ เครียด สุขภาพแย่เหมือนเดิม ถ้าเริ่มแล้ว ก็ทำต่อไปอย่างสม่ำเสมอ ความสม่ำเสมอนี้เองที่จะทำให้เกิดสมดุลระหว่างงานกับชีวิตได้จริงๆ เราจะได้มีความสุข มีเวลาชีวิตมากขึ้น มีสัมพันธ์กับคนรอบข้างมากขึ้น มีสุขภาพที่ดีขึ้น และแน่นอนความสุขนั้นก็จะส่งผลมายังช่วงเวลางานด้วยเช่นเดียวกัน 

มาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว อยากจะบอกว่า บทความนี้ไม่มีอะไรมากนอกจากความหวังดี ที่อยากจะให้ทุกคน 

“พักบ้างก็ได้..และรู้จักพักให้เป็นด้วยนะ”

คือเมื่อถึงเวลาพักจริงๆ อย่าคิดเรื่องงาน 

หางานอดิเรกที่เราหลงใหล มีความสุข ทำดูบ้าง 

และลงมือทำให้เต็มที่ สนุกไปกับมันทุกครั้ง 

แต่ถ้าวันนี้ยังยาก ไม่เป็นไร ขอแค่เริ่มต้นทำ แบบค่อยเป็นค่อยไป 

และทำอย่างสม่ำเสมอด้วยนะ 

แอมเชื่อว่าทุกคนสามารถทำได้ เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม มนุษย์ทุกคนไม่เหมือนกัน บางทีการทำงาน นั่นอาจจะเป็นความสุขเพียงพอแล้วสำหรับใครหลายๆคน บางครั้งเราอาจจะไม่จำเป็นต้องแยกงานออกจากความสุขก็ได้ สิ่งสำคัญคือ เราต้องตอบคำถามตัวเองให้ได้ว่า เราจะทำอย่างไร ชีวิตถึงจะมีความสุข แม้เราจะได้ทำงานที่เรารัก แต่ก็ใช่ว่าทุกวันจะแฮปปี้ไปเสียหมด ก็คงต้องมีบางวันที่เจอเรื่องหนักใจกันบ้างแหละนะ แต่สุดท้ายถ้างานมันหนัก หรือเหนื่อยจนเกินไป ลองพักบ้างก็ได้ ไม่เสียหายหรอก 😊

rest-for-work-life-balance

เรียนสอบถาม คอนเทนต์นี้ คุณชอบไหมคะ

ความคิดเห็นของคุณมีความสำคัญกับเรา ขอบคุณนะคะ

Learn More

Recommended Topics

TAKE NOTE : เปลี่ยนการทำงานของคุณให้ดีขึ้นทุกๆด้านด้วยการฝึกนิสัยจดบันทึก
9 วิธีคิดเพื่อพัฒนาตนเองในการสร้างสรรค์ Content [Infographic]