ใครหลายๆคนอาจจะเคยได้ยินว่าการตลาดถูกพัฒนาไปถึงยุค การตลาด 4.0 ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ค่อยมีคนเข้าใจในวงกว้างว่าคำว่า การตลาด 1.0 ,2.0 ,3.0 คืออะไรกันแน่ หากเปิดตำราอ่านกัน หรือ ค้นหาในโลกอินเตอร์เน็ต เราจะเข้าใจได้ว่า
การพัฒนาของหลักการตลาด 1.0 คือการเน้นยํ้าและโฟกัสไปที่การขายแบบกลุ่มใหญ่ ใช้สื่อที่สามารถเจาะกลุ่มตลาดได้กว้าง เช่น วิทยุ โทรทัศน์ เน้นขายของเน้นปริมาณ เพื่อลดต้นทุนในการผลิต ผสมกับโปรโมชั่นต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภค จับจ่ายใช้สอยกันอย่างมากมาย
พอมาถึงช่วงเวลาของยุคการตลาด 2.0 เราจะสังเกตุได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ผู้คนเริ่มให้ความสนใจกับคำว่า Service Mind มากขึ้น หรือการให้บริการเป็นหลัก สินค้าอาจคล้ายกัน แต่การบริการต้องมาที่ 1 บริการหลังการขายจึงมาเป็นส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของลูกค้า
ต่อมาด้วยกับช่วงของ การตลาด 3.0 หรือช่วงเวลาที่เทคโนโลยี และ อินเตอร์เน็ตเริ่มถูกนำเสนอในวงกว้าง แบรนด์เริ่มต้องหาทางใกล้ชิด โดยการสื่อสารผ่าน Social Media เรียกว่าใครเริ่มก่อนเร็วก่อนหรือทำสิ่งที่แตกต่าง จะได้โอกาสครอบครองตลาดวงกว้างได้ในที่สุด
สำหรับ การตลาด 4.0 คือยุคที่เทคโนโลยีถูกพัฒนาไปไกล และมีผลกระทบไม่ใช่ต่อ การตลาด การประชาสัมพันธ์ หรือ การขายของออนไลน์ และ Digital มีส่วนเกี่ยวข้องกับ เศรษฐกิจ สาธารณสุข สังคม การท่องเที่ยว การบริหารระหว่างประเทศอย่างเห็นได้ชัด เราจะเห็นได้ว่าคำว่า Digital ในยุคของ การตลาด 4.0 เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องของการเก็บข้อมูลเชิงลึกมากขึ้น พร้อมกับสถิติ ของผู้บริโภคในโลกออนไลน์เพื่อนำมาประกอบในการวางแผนกลยุทธ์ ทั้งการออกแบบสินค้า การออกแบบการขาย
การออกแบบกลยุทธ์การตลาด การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีอย่างต่อเนื่องกับลูกค้าอีกด้วย ย่อมมีส่วนของคำว่า Digital มาเกี่ยวข้องทั้งหมด และยุคนี้เป็นยุคที่ถูกพัฒนามาจากคำว่า Customized หรือ การออกแบบผลิตภัณฑ์เฉพาะ สำหรับลูกค้า และเป็นยุคที่เราจะได้รู้จักกับคำว่า Personalized Marketing ผ่านโลกดิจิตอลอย่างเต็มตัว
จากการออกแบบกลยุทธ์ และ ความเข้าใจของทีมผู้สอนเราจึงของสรุปคำว่า Digital Personalized Marketing ออกมาเป็น … ดังต่อไปนี้
1.Digital Personalised Strategy for Content Marketing
ส่วนใหญ่แล้วคนที่เริ่มเข้าใจเรื่อง Digital Marketing จะบอกว่าหัวใจที่สำคัญที่สุดสำหรับการทำการตลาดบนโลกออนไลน์คือ
คำว่า Content Marketing เป็นที่ฮิตติดหู แต่เป็นสิ่งที่ยากที่สุดด้วยเช่นกัน
กับการเขียนให้กระชับ บริโภคง่าย เหมาะสม และ สามารถ แก้ไขปัญหากับผู้บริโภคบนโลกออนไลน์ได้ด้วยนั้น
เรามักจะหาบุคลากรทางสายนี้ค่อยข้าง ลำบาก และ ต่อให้หาเจอเราต้องใช้เวลาสักพักใหญ่เพื่อให้พวกเขาซึมซับ และ
เข้าใจธุรกิจของเราด้วยใจจริง
เพราะฉะนั้น เรียกว่าการจะเขียนคอนเทนต์ขึ้นมา 1 คอนเทนต์ต้องไม่ให้เสียแรงเปล่า
เราต้องทำให้คอนเทนต์เราได้เห็นโดยผู้ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายโดยแท้ ในช่วงแรก แนะนำให้เขียนคอนเทนต์ออกมาเป็นประเภท value content ให้กับ audience ที่ติดตามเราอยู่ เพื่อเก็บสถิติว่า audience แต่ละกลุ่มชอบคอนเทนต์แบบไหนบ้าง หลังจากเก็บสถิติแล้วไม่ว่าจะเป็นการติด Facebook Pixels หรือทำวิจัยก็ตาม เมื่อเรารู้แล้วว่า ผู้ติดตามเราแต่ละกลุ่มชอบคอนเทนต์ประเภทไหน สิ่งที่เราต้องทำต่อ ก็คือสื่อ คอนเทนต์ เหล่านี้ให้ถูกกลุ่ม
ตัวอย่างเช่นเราทำผลิตภัณฑ์ เพื่อสุขภาพ มีกลุ่มลูกค้ามากหน้าหลายตาที่ชอบผลิตภัณฑ์ของเรา
แต่เราต้องการหาคนที่ใช่ที่สุดเพื่อมาอยู่ในพื้นที่ออนไลน์ของเรา เขาจะได้เห็นเราบ่อยมากขึ้น และ ถูกกระตุ้นให้ผูกพันธ์ และ ตัดสินใจซื้อได้ง่ายที่สุด
เราจึงทำคอนเทนต์ขึ้นมาเป็นประเภทดังต่อไปนี้
1.1 ลดนํ้าหนัก
1.2 เพิ่มกล้ามเนื้อ
1.3 ลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย
หลังจากนั้นเราลองติด facebook pixels ลงไปในแต่ละกลุ่ม ทำโฆษณา และ ดูว่ามีผู้อ่านคอนเทนต์ไหนมากที่สุด
บวกกับ bounce rate ที่ตํ่า(หมายถึงอัตราส่วนการเข้าชมเว็บไซต์เพียงหน้าเดียวและไม่ได้กดไปหน้าอื่นต่อ) หลังจากนั้น เราจะได้ลูกค้า กลุ่มที่สนใจเรื่องนั้นจริงๆมา เพื่อป้อน content ประเภทเดียวกันกับช่วงแรกต่อ
เพื่อเพิ่มความสัมพันธ์ที่ดี และ เมื่อลูกค้านึกถึงสินค้าสุขภาพ ก็จะคิดถึงเราเป็นแบรนด์แรกทุกครั้งที่ลูกค้าจะซื้อ หรือ ถูกกระตุ้นให้ซื้อ
การออกแบบ คอนเทนต์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า สำคัญมาก เพื่อให้เขารู้สึกเป็นคนพิเศษ ไม่ต้องเสียเวลา หาคอนเทนต์
นี่เป็นอีกหนึ่งทางออกให้กับคนที่ไม่แน่ใจว่าเราควรเขียนคอนเทนต์ต่อไปดีหรือไหม บอกได้เลยค่ะว่าจะเป็นประโยชน์ต่อคุณ และ ธุรกิจของคุณไม่มากก็น้อย
2.Digital Personalised Strategy for User Experience Design
รูปแบบดีไซน์บนโลกดิจิตอลจะเปลี่ยนไป ด้วยการใช้ข้อมูลของลูกค้ามาประมวลผลก่อนการออกแบบ
เริ่มตั้งแต่ ลูกค้าค้นพบเจอเราได้อย่างไร จากนั้นหลังจากที่เขาเข้ามาในเว็บแล้ว ลูกค้าชอบคลิกตรงไหนมากที่สุด ลูกค้าชอบสีไหนมากที่สุด
ลูกค้าจะอยู่ในเว็บไซต์หน้าไหนมากที่สุด เพราะการออกแบบถูกตาต้องใจอย่างไร
การเก็บข้อมูลครั้งนี้ก็จะเข้ามาส่วนทำให้ผู้บริโภค รู้สึกพิเศษมากขึ้น
รวมถึงยังเป็นการทำให้ลูกค้ารู้สึกผูกพันธ์กับแบรนด์โดยที่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องขายเลยด้วยซํ้าไป
คำว่า User Experience Design ไม่ได้หมายถึงเรื่องของเว็บไซต์อย่างเดียว แต่หมายถึงการออกแบบ
แบบให้โดนใจ โดนจุดทุกจุดที่ลูกค้าไปอีกด้วย แต่ไม่ใช่ทำแบบตามตื้อจนลูกค้ารำคาญ เราต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกเซอร์ไพรส์ที่เจอเราอีกแล้ว อีกแล้ว และ อีกแล้ว คล้ายๆกับทำให้ลูกค้ารู้สึกว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือโชคชะตากำหนดมา ให้เจอแบรนด์นี้บ่อยๆ เป็นต้น
3.Digital Personalised Strategy for CRM
การดูแลลูกค้าให้เขารู้สึกเป็นคนพิเศษตลอดเวลา จะเกิดขึ้นได้ไม่ใช่ช่องทางเพียงช่องทางเดียว แต่จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อ
เราให้ความใส่ใจกับลูกค้าทุกๆช่องทาง
ตัวอย่างเช่นการบันทึกชื่อของลูกค้าลงไปในระบบ และ สามารถ รู้ความชอบของลูกค้า รายละเอียดวันเกิดของลูกค้าได้ทันที
เพื่อที่จะได้ส่งของขวัญพิเศษ หรือ แค่มีเพียง ข้อความทางช่องทางออนไลน์ ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความพิเศษให้ลูกค้าแล้วแน่นอน
3 ข้อนี้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นของคำว่า Personalized Marketing เพียงเท่านั้น
ทางทีม content ของ DMA จะขอไปทดลองและศึกษาเพิ่มเติม สำหรับการแบ่งปันต่อเพื่อเป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกคนเหมือนเดิมค่ะ