9 เคล็ดลับเพิ่ม Conversion Rate ให้กับเว็บไซต์ของคุณ

เพิ่ม Conversion Rate ให้กับเว็บไซต์

ผู้เขียนเชื่อว่า ณ ปัจจุบันหลายธุรกิจน่าจะเริ่มมีเว็บไซต์กันแล้วใช่มั้ยคะ ซึ่งการจะดึงคนเข้าเว็บไซต์ให้มาก ๆ ก็มีอยู่หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการทำ SEO หรือ SEM ซึ่งหนึ่งในวิธีเหล่านั้นคือการทำคอนเทนต์พื่อดึงผู้อ่านเข้ามา หรือที่เรียกว่าการทำ “Blog” โดย Blog เป็นอีกหนึ่งช่องทาง ที่ช่วยเรียกผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้ในจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการทำ SEO ซึ่งจะทำให้ยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์โตขึ้นได้แบบฟรี ๆ 

อย่างไรก็ตามไม่ว่าผู้เข้าชม Blog ของเราจะมากขนาดไหน แต่การจะทำให้คอนเทนต์เหล่านั้น มีประโยชน์ได้ เราจำเป็นที่จะต้องมีเป้าหมาย หรือ ปลายทางให้กับผู้อ่าน ไม่ว่าจะเป็นการลงทะเบียน สมัครเรียน กด Subscribe หรือกลายมาเป็นลูกค้าด้วยการซื้อสินค้าของเรา โดยสิ่งที่ได้กล่าวไปทั้งหมดข้างต้นมักจะถูกเรียกว่า “Conversion” 

สถิติการออกแบบเว็บไซต์ที่ได้ผลลัพธ์ที่ดี
สถิติการออกแบบเว็บไซต์ที่ได้ผลลัพธ์ที่ดี จากเว็บไซต์ Neilpatel

 

จากตัวอย่างด้านบนเป็นสถิติการออกแบบเว็บไซต์จาก Neilpatel ซึ่งระบุว่า กว่า 500 บริษัทที่มีเว็บไซต์ และได้ผลตอบรับที่ดีจะมีการวางกลุยทธ์ทางการตลาดดังนี้

สถิติการออกแบบเว็บไซต์ที่ได้ผลลัพธ์ที่ดี

1 Logo

93% จากกว่า 500 บริษัทมักวางโลโก้แบรนด์ไว้ที่ มุมซ้ายบน ของเว็บไซต์

2 Tagline

27% ของโลโก้แบรนด์นิยมใส่ Tagline หรือสโลแกนเอาไว้ด้วย

3 Background

80% พื้นหลังบนเว็บไซต์ส่วนมากเป็นสีโทนสว่าง และมีการจัดโครงสีที่เข้ากัน

4 Search Box

87% ของเว็บไซต์จะมีช่องเสิร์ชเพื่อค้นหาคอนเทนต์ หรือสินค้าที่ต้องการ

5 Call to Action

47% ของเว็บไซต์ที่สามารถสร้าง Conversion ได้ดี จะมีปุ่ม Call to Action ชัดเจน

6 Blog Post

60% ของบริษัทที่สร้าง Brand Awareness ได้ประสบความสำเร็จ จะมีบล็อก หรือคอนเทนต์บนเว็บไซต์ให้ลูกค้าอ่าน

7 Contact Info

63% ของกว่า 500 บรษัทใส่ข้อมูลติดต่อเอาไว้บนเว็บไซต์

8 Social Media 

89% ของเว็บไซต์มักสร้างไอคอนลิงก์ไปยังช่องทางโซเชียลมีเดียที่ด้านล่างของเว็บ

และ 11 % ที่เหลือจะสร้างไอคอนลิงก์ไปยังช่องทางโซเชียลมีเดียที่ด้านบน

ทั้งนี้ Conversion ก็ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ โดยเราจะต้องอาศัยการกระตุ้นที่เรียกว่า Call to Action ซึ่งเป็นข้อความ หรือ องค์ประกอบต่าง ๆ (เช่น ป้ายแบนเนอร์ กล่องข้อความ) ที่กระตุ้นให้เกิดการกระทำนั้น ๆ โดยในบทความนี้ เราจะมาดูกันค่ะว่ามี Call to Action หรือ เคล็ดลับใดบ้างที่จะทำให้ “Conversion Rate” หรืออัตราการเกิดการกระทำของคุณสูงขึ้น โดยจะเริ่มจากเคล็ดลับที่หนึ่งอย่าง “Anchor Text CTA” ค่ะ

1. การใช้ Anchor Text CTA


“Anchor Text CTA หรือ Anchor Text Call to Action”
คือประโยคข้อความที่ใช้คั่น หรือ ทิ้งท้ายในบทความต่าง ๆ ซึ่งจะมีการฝังลิงก์ที่พาไปสู่ปลายทางที่เป็น Landing Page เป้าหมาย ซึ่งจะเป็นอะไรก็ได้เลยค่ะ เช่น หน้าขายสินค้า หน้าลงทะเบียนเรียน หรือดาวน์โหลด Free E-book เป็นต้น โดยจากสถิติระบุว่า Anchor Text เพิ่ม Conversion Rate ได้ถึง 121% และเป็น CTA ที่มีสัดส่วนการเก็บ Leads มากที่สุดในบทความของ Hubspot (93%)

ทั้งนี้สำหรับการใช้ Anchor Text CTA เราควรที่จะคำนึงถึงความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของบทความด้วยนะคะว่าลิงก์ปลายทางของเรามีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือเปล่า เพื่อสร้างความกลมกลืน และเพิ่มโอกาสในการคลิก CTA ที่เราหยิบยื่นให้ผู้อ่าน ซึ่งมั่นใจได้เลยค่ะ ว่า Conversion Rate ของเราจะต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน

Anchor text สำหรับเพิ่ม Conversion Rate
ตัวอย่าง Anchor Text CTA จาก Neil Patel


ตัวอย่าง
การใส่ Anchor Text CTA ในบทความเกี่ยวกับการทำ SEO


อย่างไรก็ตาม นอกจากเทคนิคการใช้ Keyword ที่ถูกต้องแล้ว การทำบทความให้สร้างสรรค์และแตกต่างจากบทความในเว็บไซต์อื่น ๆ ก็จะช่วยให้บทความของเราแตกต่างและน่าสนใจมากขึ้นค่ะ ดังนั้น STEPS Academy ขอแนะนำ 6 เทคนิคการเขียนบทความ SEO เชิงสร้างสรรค์ดังนี้ค่ะ

คลิกที่นี่ ! เพื่อเรียนรู้การทำคอนเทนต์ในรูปแบบที่เน้น SEO เพื่อยอดขายของธุรกิจที่โตผ่านหลักสูตรของเรา

เทคนิคที่ 1 การเขียนบทความที่เป็นลักษณะ Personalized Experience หรือ การทำการตลาดแบบ Personalization เพื่อเป็นการมอบประสบการณ์ให้ตรงใจลูกค้ามากที่สุด

2. ใช้ CTA ที่มี Search Keyword 


ในการใส่ CTA เข้าไปในบทความ เป็นปกติที่ต้องมีการคิด Copy หรือข้อความด้านในเพื่อดึงดูดให้ผู้อ่านอยากคลิก ซึ่งทาง Hubspot ก็ได้เผยเทคนิคสำคัญที่จะช่วยเพิ่ม Conversion Rate ให้กับ CTA ของเรา นั่นคือการใส่ Search Keyword เข้าไปนั่นเอง โดย Search Keyword ในที่นี้คือคีย์เวิร์ดที่ผู้อ่านใช้ในการค้นหา ที่ทำให้บทความของเราแสดงขึ้นมาให้เห็นบน SERP 

โดย Hubspot ก็ได้ทำการทดลองเทคนิคนี้กับ 12 บทความที่มีอันดับสูงที่สุด โดยมีกาารใส่ Call to Action ที่มี Search Keyword เข้าไป ซึ่งผลปรากฏว่า Conversion Rate เพิ่มขึ้นมาถึง 87% เลยทีเดียวค่ะ

ทั้งนี้สำหรับ Search Keyword เราสามารถหาได้จากการใช้ Google Analytic ดูว่าบทความใดที่มีผู้เข้าชมเว็บไซต์มาอ่านมากที่สุด จากนั้นเราก็สามารถใช้เครื่องมือ Google Search Console เพื่อทำการดูว่าหน้าเว็บไซต์นั้น ๆ แสดงขึ้นมาด้วยการค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดอะไร โดยหากใครสนใจอยากรู้วิธีการใช้ Google Search Console สามารถไปตามอ่านกันได้เลยที่บทความตาม ลิงก์ ค่ะ

ตัวอย่าง การใส่คีย์เวิร์ดลงไปใน CTA ของบทความ Google Search Console 


เหตุผลสุดท้ายที่คุณควรใช้ Google Search Console ก็คือ ฟีเจอร์ของ Google Search Console เองที่สามารถทำได้หลากหลาย ซึ่งสำหรับใครที่มีเว็บไซต์ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะพลาดการใช้เครื่องมือตัวนี้

ยกระดับการทำคอนเทนต์ที่เน้น SEO ! เรียนรู้การใช้ Google Search Console และเครื่องมืออื่น ๆ

โดยประโยชน์เด่น ๆ ของการใช้ฟีเจอร์ต่าง ๆ ใน Google Search Console  ก็มีหลัก ๆ ทั้งหมด 6 ข้อด้วยกัน ซึ่งมีดังต่อไปนี้…..

3. ใช้ Slide-in box Call to Action


Slide-in box Call to Action เป็นอีกหนึ่งประเภทที่สำคัญของ CTA ที่จะช่วยเพิ่ม Conversion Rate ของเราให้สูงขึ้นจาก
Click Through Rate ที่สามารถสูงขึ้นได้ถึง 192% (สถิติจาก Hubspot) โดย Slide-in box Call to Action จะมีลักษณะเป็นกล่องข้อความที่จะเลื่อนโผล่ขึ้นมา โดยเราสามารถตั้งค่าเงื่อนไขการแสดงผลได้ โดยตัวอย่างของ Slide-on box Call to Action สามารถดูได้จากตัวอย่างของ Hubspot ด้านล่าง (กล่องสี่เหลี่ยมสีส้มนะคะ)

ตัวอย่าง Slide-in box CTA จาก Hubspot
ตัวอย่าง Slide-in box CTA จาก Hubspot

4. การใช้ Feature Box


Feature Box คืออะไร ? Feature Box ก็คือกล่องข้อความที่มักจะถูกแสดงผลอยู่ด้านบนของหน้าเว็บไซต์ ซึ่งมักจะอยู่ในตำแหน่งใต้ Header Navigation และ เหนือบทความของเราตามตัวอย่างด้านล่าง

ตัวอย่าง Feature Box ของ Chris Lema จาก Optinmonster
ตัวอย่าง Feature Box ของ Chris Lema จาก Optinmonster

 

โดย Feature Box มักจะมีการใส่ช่องกรอกข้อความเข้าไป เพื่อให้ผู้อ่านได้กรอกข้อมูลต่าง ๆ เพื่อทำการสมัครสมาชิกหรือ Subscribe 

ทั้งนี้สำหรับเหตุผลที่ Feature Box เป็นอีกหนึ่ง CTA ที่จะช่วยเพิ่ม Conversion Rate ให้กับเราได้นั่นก็เพราะว่าขนาดของมันนั้นใหญ่ และเห็นได้ชัดเจน นอกจากนี้จากสถิติ Feature Box ยังทำให้ยอดการ sign up หรือการลงทะเบียนเพิ่มขึ้นถึง 51%

อย่างไรก็ตามเราต้องมั่นใจว่าสิ่งที่เราเสนอให้กับลูกค้าหรือผู้อ่านต้องน่าสนใจจริง ๆ นะคะ เพื่อที่พวกเขาจะได้สมัครใจกรอกรายละเอียดส่วนตัวให้เรา ตัวอย่างเช่น STEPS Academy ที่เราก็มี E-book ดี ๆ ที่มอบความรู้ด้าน Digital Marketing ให้กับผู้อ่าน (ล่าสุดกำลังจะมีเล่มใหม่สำหรับการยิงโฆษณา Facebook Ads ให้มีประสิทธิภาพด้วยนะคะ)

5. เสนอ Free Template


นอกจากการนำเสนอ
E-book ตามตัวอย่างจากข้อที่แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้อ่านมักจะสนใจและคาดว่าจะช่วยเพิ่ม Conversion Rate ของบทความได้นั่นก็คือ “Free Template” หรือเทมเพลตฟรีที่ผู้อ่านสามารถดาวน์โหลดแล้วนำไปใช้กับธุรกิจ หรือ ไอเดียที่ตนมีได้ทันทีนั่นเอง

โดยจากสถิติแล้วการเสนอ Free Template ให้กับผู้อ่านจะช่วยให้บทความนั้น ๆ มียอด Conversion rate ที่สูงขึ้นถึง 240% โดยหน้าที่ที่เราต้องทำคือการวิเคราะห์ให้ได้ว่าเทมเพลตของอะไรกันที่จะดึงดูดความสนใจให้เกิด Conversion จากผู้อ่านค่ะ

Customer Avatar Template จาก STEPS Academy
Customer Avatar Template จาก STEPS Academy

6. การทำ Retargeting 


การทำ Retargeting (หรือ Remarketing) คือการทำให้ผู้ที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ เห็นบทความ หรือ โฆษณาของเราในแพลตฟอร์มต่าง ๆ อีกครััง ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้า หรือ ผู้ใช้จดจำ ทั้งยังช่วยในการตัดสินใจซื้อ (ซึ่งแน่นอนค่ะว่าจะช่วยเพิ่ม Conversion Rate ให้กับเราแน่ ๆ) โดยจากสถิติระบุว่าลูกค้าที่ถูก Retarget จะมีโอกาสเกิด Conversion สูงถึง 43%

ทั้งนี้คีย์ของการทำ Retargeting คือการทำ Personalization ซึ่งเป็นการระบุว่าลูกค้า หรือ ผู้อ่านเข้ามาอ่านบทความเกี่ยวกับอะไร ซึ่งจะช่วยบอกเราได้ถึงสิ่งที่ลูกค้าสนใจ ทำให้เราสามารถ Retarget ไปด้วยคอนเทนต์หรือสินค้าที่เกี่ยวข้อง

ตัวอย่างของการทำ Retargeting ก็เช่น การติด Facebook Pixel ลงในเว็บไซต์ซึ่งทำให้เราสามารถเก็บข้อมูลของผู้เข้าชม แล้วยิงโฆษณา Facebook Ads ไปที่คน ๆ นั้น

ตัวอย่าง การทำ Retargeting สำหรับหลักสูตร Data-Driven Content Strategy 

  1. STEPS มีหลักสูตร Data-Driven Content Strategy (DCS) ที่เกี่ยวกับการทำ SEO
  2. ผู้ใช้เข้าไปอ่านบทความ Ubersuggest ซึ่งเป็นเครื่องมือการทำ SEO
  3. STEPS กำหนดให้ผู้ที่อ่านบทความนี้เป็นผู้ที่มีโอกาสสมัครเรียนหลักสูตร DCS สูง
  4. Facebook Pixel ทำให้เรากำหนดเป้าหมายการยิงโฆษณาเจาะจงไปยังผู้ที่อ่านบทความ Ubersuggest ได้

7. การปรับ Headline


Headline หรือ หัวข้อบทความเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมาก ๆ ในการเขียนบทความบนโลกออนไลน์ ด้วยผู้อ่านส่วนใหญ่ (80%) มักจะอ่านที่ Headline แล้วหยุดอ่านบทความนั้น ๆ ทันที (เป็นตัวเลขที่สูงมากเลยนะคะ) ซึ่งนอกจาก Headline จะมีผลต่อการ
“อ่านต่อ” และ Conversion Rate แล้ว Headline ยังมีผลต่อ “อัตราการคลิก” เข้ามาอ่านจากหน้าแสดงผลลัพธ์การค้นหาด้วย (Click Through Rate

โดยหลัก ๆ แล้วการทำ Headline สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “ความน่าสนใจ” ซึ่งเราต้องทำให้ลูกค้าเห็นแล้วรู้สึกอยากคลิก อยากอ่านต่อนั่นเองค่ะ โดยสำหรับการทำให้ Headline น่าสนใจ เราจะขอตัวอย่างเทคนิคง่าย ๆ แต่ได้ผลให้ทุกคนได้ลองเอาใช้กันด้านล่างนี้ค่ะ

Tips สำหรับการทำ Headline


เพื่อเพิ่ม Conversion Rate ให้กับบทความของเราให้ได้เราสามารถนำองค์ประกอบเหล่านี้มาใช้ใน Headline ของเรา ซึ่งจากสถิติ 36% ของผู้อ่านเขามักจะชอบ Headline ที่มีองค์ประกอบต่อไปนี้ค่ะ

  1. ตัวเลข เช่น 10 Social Media Trend ในปี 2021 โดย Hubspot และ Talkwalker และ 6 เหตุผล ทำไมธุรกิจต้องใช้ Facebook Business Manager
  2. การระบุเจาะจงถึงกลุ่มเป้าหมาย เช่น ปัญหาพื้นฐาน!! ที่เหล่า SME มักพบเจอ เมื่อทำโฆษณาบน Facebook

8. ใช้คอนเทนต์ประเภทวิดีโอ

นอกจากการเขียนบทความในบล็อกของเราแล้ว อีกช่องทางหนึ่งที่กำลังเป็นที่นิยมในการเสพของผู้ชมมากขึ้นนั่นคือ “คอนเทนต์วิดีโอ” นั่นเองค่ะ โดยจากสถิติระบุว่า 54% ของลูกค้ามีความต้องการที่จะเสพคอนเทนต์ประเภทวิดีโอมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนี่ก็น่าจะสามารถสังเกตได้จากช่องทาง YouTube ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ 

โดยการทำวิดีโอถึงแม้ว่าจะต้องใช้ต้นทุนที่มากกว่า แต่นักการตลาดหลาย ๆ คนเชื่อว่ามันจะช่วยนำพาผลตอบรับที่ดีขึ้นมาให้ โดย 88% ของนักการตลาดที่ใช้วิดีโอคอนเทนต์มีความพึงพอใจกับผลที่ได้รับ

ในกรณีของการทำบล็อกเราอาจจะลองใส่คอนเทนต์ประเภทนี้เข้าไปด้านใน เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม และ ความหลากหลายของคอนเทนต์เราได้ นอกจากนี้เรายังสามารถใส่เงื่อนไขการเข้าชมวิดีโอในบล็อกของเราได้อีกด้วย เช่น การใช้ Turnstile ให้ลูกค้ากรอกข้อมูลก่อนชมวิดีโอ เป็นต้น

 ตัวอย่างเงื่อนไขการชมวิดีโอจาก Wistia
ตัวอย่างเงื่อนไขการชมวิดีโอจาก Wistia

9. ใช้ User Generated Content


การใช้
User Generated Content หรือ คอนเทนต์ที่ถูกสร้างเองด้วยมือของลูกค้า จะช่วยทำหน้าที่เป็น Social Proof ที่สร้างภาพลักษณ์ให้แบรนด์ของเราน่าเชื่อถือ และ น่าไว้ใจ ซึ่งนี่จะช่วยให้ Conversion Rate ของเราเพิ่มขึ้นได้ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งจากสถิติแล้วการใช้คอนเทนต์ประเภทนี้จะช่วยให้ Conversion Rate เพิ่มขึ้นจะที่เคยมีเฉลี่ย 161% 

ทั้งนี้การใช้ User Generated Content ในบล็อกของเราอาจทำได้โดยการใช้ภาพประกอบที่เป็นรูปภาพการใช้งานจริงของลูกค้า แทนที่การโหลดรูปภาพมาใช้จากแหล่งต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยตัวชี้วัดสำคัญอย่าง Conversion Rate ให้เราได้ค่ะ

สรุป


การทำเพิ่มยอด Conversion Rate ให้กับเว็บไซต์ โดยเฉพาะกับ Conversion Rate ในหน้าคอนเทนต์หรือ Blog มีทั้งหมด 9 วิธีด้วยกัน ซึ่งประกอบไปด้วย

  1. การใส่ Anchor Text CTA
  2. การใส่ Search Keyword เข้าไปใน CTA
  3. การใช้ Slide-in Box Call to Action 
  4. การใช้ Feature Box 
  5. การเสนอ Free Template 
  6. การทำ Retargeting 
  7. การปรับ Headline 
  8. การใช้คอนเทนต์วิดีโอ
  9. การใส่ User Generated Content 

โดยทั้งหมดนี้จะช่วยให้เรามี Conversion Rate ที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลไปถึงยอดขาย และ ยอดการลงทะเบียนที่สูงขึ้นตามมา 

อย่างไรก็ตาม การใช้บล็อกเป็นช่องทางในการเข้าถึงลูกค้าจำเป็นที่จะต้องทำให้บล็อกของเราอยู่ในหน้าแสดงผลการค้นหาให้ได้ เพื่อเป็นการเพิ่ม Traffic เข้าเว็บไซต์ โดยสิ่งหนึ่งที่ต้องใช้คือการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization 

📢📢 วันนี้ STEPS Academy เรามีหลักสูตรใหม่ที่ชื่อว่า SEO Content Marketing ซึ่งเป็นหลักสูตรที่จะสอนให้คุณเข้าใจการวางกลยุทธ์การทำ SEO และคอนเทนต์ ที่เน้นการใช้ Data เป็นตัวขับเคลื่อน โดยหลักสูตรนี้จะสอนตั้งแต่การทำความเข้าใจ ไปจนถึงการวิเคราะห์ และ ใช้เครื่องมือต่าง ๆ ที่คุณจะได้ทดลองทำด้วยมือของคุณเอง รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก 

ที่มา

Optinmonster

Spiralytics

Neilpatel

เรียนสอบถาม คอนเทนต์นี้ คุณชอบไหมคะ

ความคิดเห็นของคุณมีความสำคัญกับเรา ขอบคุณนะคะ

Learn More

เทรนด์การทำ Data Visualization เพื่อธุรกิจในปี 2021
On-Page และ Off-Page SEO คืออะไร