หลายท่านยังคงมีความเชื่อผิดๆที่ว่า ถ้าจะเริ่มต้นทำการตลาดดิจิทัล จะต้องเริ่มเรียนรู้จากการใช้งาน หรือการทำโฆษณาบนช่องทางโซเชียลมีเดียอย่างเช่น Facebook ก่อน ซึ่งจริงๆแล้วเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง เพราะสิ่งที่เราควรทำเป็นอันดับแรกคือ “การวางกลยุทธ์” ที่ชัดเจน ซึ่งธุรกิจที่มีการวางกลยุทธ์ก่อนเริ่มทำการตลาดดิจิทัล จะแตกต่างจากธุรกิจที่ไม่มีการวางแผนเรื่องกลยุทธ์ ดังต่อไปนี้
- มีทิศทาง ลำดับขั้น และเป้าหมายที่ชัดเจนแน่นอนทำให้เห็นภาพรวมของธุรกิจได้มากขึ้น
- ไม่ต้องเสียเวลาในการลองผิดลองถูก และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายไปโดยไม่คุ้มค่า
- สื่อสารได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย และเลือกใช้ช่องทางที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณจริงๆ
- สามารถบริหารทีมงานได้สอดคล้องกับเป้าหมายของธุรกิจ
วันนี้ธุรกิจของคุณ มีการวาง Digital Marketing Strategy แล้วหรือยัง?
คำว่า “Strategy” หรือ “กลยุทธ์” ฟังดูแล้วอาจคิดว่าเป็นเรื่องยุ่งยากและซับซ้อน แต่จริงๆแล้วการสร้าง Digital Marketing Strategy ให้มีประสิทธิภาพนั้น ไม่จำเป็นต้องยากอย่างที่ใครๆคิด เพราะ “กลยุทธ์” แท้จริงแล้วเป็นเพียงแผนปฏิบัติงานใดๆก็ตาม ที่สามารถทำให้เราบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ ซึ่งแต่ละกลยุทธ์ก็จะแตกต่างกันไปตามเป้าหมายและขนาดของธุรกิจ
แม้ว่ากลยุทธ์จะเป็นแกนหลักสำคัญของการทำการตลาดดิจิทัล แต่ยังมีอีกหลายๆธุรกิจ ที่ยังไม่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ จากการสำรวจของทีม Smartinsights เกี่ยวกับการวางแผนการตลาดดิจิทัลพบว่า ประมาณ 45% จากธุรกิจที่สำรวจทั้งหมด ไม่มีการวางแผนเกี่ยวกับ Digital Marketing Strategy เป็นเปอร์เซ็นต์ที่ค่อนข้างสูง และหมายความว่าเกือบครึ่งหนึ่งของธุรกิจ ยังคงทำการตลาดดิจิทัลโดยไม่มีกลยุทธ์ ดังรูปภาพด้านล่างค่ะ
ภาพจาก : https://www.smartinsights.com/digital-marketing-strategy/digital-strategy-development/10-reasons-for-digital-marketing-strategy/
สำหรับผู้อ่านท่านใดที่ยังเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจ ที่ไม่ได้วางแผนกลยุทธ์ให้กับการตลาดดิจิทัลของคุณ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่า “ทำไมธุรกิจจำเป็นจะต้องมี Digital Marketing Strategy”
7 เหตุผลทำไมธุรกิจคุณจึงต้องมี Digital Marketing Strategy
เหตุผลที่ 1 : คุณจะมีเป้าหมายชัดเจนที่วัดผลได้ ในการทำการตลาดบนโลกออนไลน์
บ่อยครั้งที่ธุรกิจไม่มีการวาง Digital Strategy ซึ่งนั่นก็คือ การขาดเป้าหมายที่ชัดเจน เกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาต้องการ จากการทำการตลาดออนไลน์ คุณจึงจำเป็นจะต้องพิจารณาว่าธุรกิจต้องการอะไรจากช่องทางนั้นๆ อาจจะอยู่ในรูปของการได้รับลูกค้าใหม่ๆ หรือสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นไป กับลูกค้าเดิมที่มีอยู่แล้ว เป็นต้น
หากคุณไม่มีเป้าหมาย คุณจะไม่สามารถจัดสรรทรัพยากรของคุณให้เหมาะสม และเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายเหล่านั้นได้ ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้คุณเสียเงินและเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ แทนที่จะประสบความสำเร็จค่ะ
ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณทำการตลาดบนช่องทางโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook แต่วัดผลลัพธ์ความสำเร็จจากจำนวนยอดกดไลค์โพสต์เยอะ หรือเพจเยอะๆ แต่แท้จริงแล้ว สิ่งที่ธุรกิจต้องการที่สุดในตอนนั้น คือยอดขาย การกำหนดเป้าหมายที่ไม่ชัดเจนนี้เอง ทำให้ดำเนินการด้วยวิธีที่ไม่ตรงจุดประสงค์ ใช้ทรัพยากรไปกับทิศทางที่ไม่ใช่เป้าหมาย แม้จะได้ยอดไลค์เยอะ แต่กลับได้ยอดขายซึ่งเป็นเป้าหมายที่แท้จริงน้อย ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับธุรกิจค่ะ
การตั้งเป้าหมายในด้าน Digital Marketing มักจะแบ่งตามขั้นการเดินทางของลูกค้าหรือ Customer Journey ซึ่งการตั้งเป้าหมายตามขั้นการเดินทางจะทำให้คุณรู้ว่า ธุรกิจต้องการขยับความสัมพันธ์ของลูกค้าขึ้นมาในระดับไหน มีเป้าหมายเพื่อต้องการให้ลูกค้ารับรู้การมีตัวตนของบริษัท หรือต้องการให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ เป้าหมายที่ต่างกัน ก็จะใช้วิธีการและรูปแบบที่ต่างกันตามไปด้วย ตัวอย่างขั้นการเดินทางของลูกค้าหรือ Customer Journey มีดังต่อไปนี้ค่ะ
ดังตัวอย่างด้านล่าง
- Aware : รับรู้การมีตัวตนของแบรนด์
- Engage : เริ่มคุ้นเคย และมีส่วนร่วมกับแบรนด์
- Subscribe : ยอมให้ข้อมูลส่วนตัวกับแบรนด์
- Convert : ตัดสินใจซื้อ
- Excite : ประทับใจหลังการซื้อสินค้า
- Ascend : ซื้อซ้ำ หรือซื้อเพิ่ม
- Advocate : บอกต่อ
- Promote : โปรโมท
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักการตั้งเป้าหมาย และตัวอย่างการนำไปใช้ในการทำแคมเปญได้ ตามลิงก์ด้านล่างนี้เลยค่ะ
https://stepstraining.co/strategy/4-factor-need-know-campaign-marketing-online
“การตั้งเป้าหมายจะทำให้คุณรู้ว่า คุณจะต้องใช้วิธีการใด รูปแบบใด ช่องทางไหน วัดผลอย่างไร ได้ตรงจุดประสงค์ และไม่หลงทางค่ะ”
เหตุผลที่ 2 : คุณจะรู้จักกลุ่มลูกค้าที่แท้จริงของคุณ
หากคุณทำการตลาดไปเรื่อยๆ โดยไม่วางกลยุทธ์ ไม่ศึกษากลุ่มผู้ชมหรือกลุ่มเป้าหมาย คุณจะไม่สามารถรับรู้ถึงความต้องการจริงๆ ของพวกเขาได้เลย ซึ่งสิ่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะคุณจะได้เปรียบมากกว่า ถ้าคุณเข้าใจตลาด เข้าใจความแตกต่างของลูกค้า คู่แข่ง ข้อเสนอ รวมถึงเครื่องมือในการสื่อสารด้วย
ซึ่งวิธีการที่จะทำให้คุณเข้าใจลูกค้า และรับรู้พฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด คือการวิเคราะห์ Customer Personas,
Customer Journey และ Digital Touchpoint
Customer Personas : การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย หรือลูกค้าของเราแบบละเอียด
Customer Journey : ลำดับขั้นการเดินทางของลูกค้าตั้งแต่เริ่มต้น จนซื้อสินค้า
Digital Touch Point : เข้าใจวิเคราะห์จุดหรือช่องทางต่างๆ ที่ผู้บริโภคได้สัมผัส หรือใช้งานในแต่ละวัน
นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือมากมายในแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่จะช่วยให้คุณสามารถค้นหาระดับความต้องการของลูกค้าได้ ตัวอย่างเช่น คุณสามารถวิเคราะห์การค้นหาของผู้ใช้งานผ่าน Google’s Keyword Planner, Google trend ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยค้นหา ว่าอะไรที่สามารถดึงดูดผู้ใช้งานกลุ่มเป้าหมาย ให้มายังเว็บไซต์ของคุณได้ นอกจากนี้ช่องทางโซเชียลมีเดีย ตัวอย่างเช่น Facebook ยังมีตัวช่วยวิเคราะห์ที่จะทำให้คุณรับรู้ได้ว่า ผลิตภัณฑ์หรือบริการแบบใดที่ลูกค้าชื่นชอบ รวมถึงรูปแบบการนำเสนอไหนที่ทำให้ลูกค้า Engage ได้มากกว่า เพื่อพัฒนาต่อยอดกลยุทธ์ที่มีอยู่ได้ด้วยค่ะ
“ทำการตลาดแบบรู้เขา (รู้จักลูกค้า) และรู้เรา (รู้เป้าหมายบริษัท) ก็จะทำให้คุณไม่เสียเงิน และเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์”
เหตุผลที่ 3 : คุณจะสามารถรับมือคู่แข่งที่มีอยู่ ไม่ให้ใครมาแย่งส่วนแบ่งในตลาดของคุณได้
หากคุณไม่มีการวาง Digital Strategy หรือใช้เวลากับการวางแผนสิ่งนี้ไม่มากพอ ผลลัพธ์จะปรากฏขึ้นให้คุณเห็นเอง คู่แข่งที่มีการใช้ Digital Strategy จะดึงส่วนแบ่งทางการตลาดไป และทำให้ลูกค้าหาคุณไม่เจอ และลืมแบรนด์ของคุณไปอย่างรวดเร็วในที่สุดค่ะ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนอย่างแอพพลิเคชันรับชมภาพยนตร์อย่าง Netflix ที่มีการวาง Digital Strategy ที่ดีมาก โดยให้ความสำคัญกับลูกค้า และข้อมูลลูกค้า Neflix จะบันทึกตัวแปรที่สำคัญอย่างจำนวนชั่วโมงที่ผู้ใช้งานรับชม จำนวนครั้งที่กดปุ่มหยุด เพื่อวิเคราะห์ และจัดสรรหมวดหมู่ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด นอกจากนี้ยังมีการวัดจำนวนชั่วโมงที่เข้าใช้งานแอพพลิเคชัน เพื่อแยกกลุ่มคนที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าและไม่เป็นลูกค้า เพื่อทำการตลาดได้อย่างตรงจุด การมีกลยุทธ์ในการทำการตลาดบนพื้นที่ออนไลน์ของ Neflix นี้เอง ทำให้แอพพลิเคชันนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้ใช้งานบนโลกออนไลน์หลายต่อหลายคน และดึงส่วนแบ่งทางการตลาดจากคู่แข่งอื่นๆได้อย่างสมบูรณ์แบบมากค่ะ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะช่วยให้คุณสามารถอยู่รอดในตลาดได้ แม้จะมีคู่แข่งใหม่ๆเพิ่มเข้ามา คือการมีกลยุทธ์ที่เรียกว่า “Brand Value Proposition” หรือ “จุดแข็งของแบรนด์บนโลกออนไลน์” ซึ่งเป็นการกำหนดทิศทาง รูปแบบ สไตล์ ในการสื่อสาร กับกลุ่มลูกค้า หากคุณค้นหาจุดแตกต่างหรือจุดแข็งของแบรนด์คุณเจอ ก็จะไม่มีคู่แข่งไหนเลียนแบบได้ และไม่สามารถแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดไปจากแบรนด์คุณได้อย่างแน่นอนค่ะ
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ “Brand Value Proposition” ได้ที่: https://stepstraining.co/strategy/brand-value-proposition
เหตุผลที่ 4 : เมื่อคุณมีการวางแผนที่ดี จะช่วยให้ผลิต Content ออกมาได้ตรงใจกลุ่มลูกค้าของคุณ
การมี Digital Marketing Strategy จะทำให้คุณมีการวางแผนที่ดี รู้ว่าลูกค้าของคุณคือใคร และรู้ว่าเป้าหมายของธุรกิจคืออะไร จึงทำให้สามารถสร้างสรรค์ Content ได้ตรงใจกลุ่มเป้าหมายที่ธุรกิจต้องการจริงๆ รวมถึงตรงกับเป้าหมายของธุรกิจไปพร้อมๆกันด้วย
Content Marketing จะเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้บรรลุเป้าหมายได้ เพราะ Content คือประตูด่านแรกที่ผู้ใช้งานบนโลกออนไลน์พบเจอ เมื่อพวกเขาค้นหาเกี่ยวกับแบรนด์ของคุณ ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญ ที่จะทำให้พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ในแต่ละช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดีย อีเมล หรือเว็บไซต์ แต่ถ้า Content ของคุณไม่ตอบโจทย์ลูกค้า เพราะไม่มีการวางแผนที่ดี ไม่มีกลยุทธ์ที่เหมาะสม ก็จะทำให้เสียเวลาเปล่า ทั้งกับลูกค้าและธุรกิจของคุณเองด้วยค่ะ
ปรับแบรนด์ให้เหมาะกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย “Content Marketing Strategy” คือกุญแจสำคัญ คุณสามารถเรียนรู้เทคนิค กลยุทธ์การสร้าง content ประเภทต่างๆ ได้จากบทความต่างๆ ตามลิงก์ด้านล่างได้เลยค่ะ
https://stepstraining.co/content
เหตุผลที่ 5 : เตรียมความพร้อมปรับตัวบุคลากร ให้ทีมงานมีทักษะด้านดิจิทัล
เมื่อขาดการวางแผนที่ดี ทำให้หลายธุรกิจขาดแคลนทรัพยากรบุคคล ที่จะทุ่มเทให้กับการวางแผนและดำเนินการด้าน Digital Marketing และมีแนวโน้มที่จะขาดผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ซึ่งทำให้ยากที่จะต่อกรกับคู่แข่งในตลาด รวมถึงตั้งรับกับสถานการณ์การแข่งขันทางการตลาดที่จะเกิดขึ้นได้
การทำงานในปัจจุบันโดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับออนไลน์ จำเป็นจะต้องมีความรู้ในด้านดิจิทัล ซึ่งมีหลายองค์กรที่มีนโยบายหรือการจัดอบรมเพื่อพัฒนาทีมงานมากขึ้น รับทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญมากขึ้น เพราะหากองค์กรไหนที่ปรับตัวไม่ทันกับยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างอยู่ในระบบออนไลน์ คุณก็จะสูญเสียโอกาสที่จะได้ลูกค้าและกำไรไปอย่างมหาศาล การมีทีมงานที่มีทักษะอยู่ในองค์กรจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญและไม่ควรมองข้ามที่สุดค่ะ
แต่ถ้าหากคุณเป็นบริษัทขนาดเล็ก-ขนาดกลาง ที่ยังไม่มีงบประมาณมากเหมือนบริษัทใหญ่ๆ คุณสามารถคัดเลือกตำแหน่งงานเฉพาะที่ส่วนที่จำเป็นต่องานด้าน Digital Marketing ได้ ตามรายละเอียดในลิงก์บทความด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ
https://stepstraining.co/strategy/digital-marketing-4
เหตุผลที่ 6 : กลยุทธ์ที่ดี ทำให้ได้มาซึ่งข้อมูลลูกค้าที่มีคุณภาพ
ถ้าธุรกิจมี Digital Marketing Strategy หรือกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่ดี ก็จะทำให้ได้ข้อมูลที่ธุรกิจจะนำมาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาต่อเป็นข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น ถ้าธุรกิจของคุณวางกลยุทธ์ได้ดี และดำเนินการได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ข้อมูลของลูกค้าที่ได้รับเพื่อทำการตลาด จะมาจากกลุ่มคนที่มีคุณภาพ (Quality Lead) ซึ่งหมายถึงกลุ่มคนที่มีโอกาสสูงที่จะซื้อสินค้า ซึ่งเป็นข้อมูลคุณภาพที่ธุรกิจสามารถนำมาทำการตลาดต่อในอนาคตได้ เมื่อคุณลงทุนทำการตลาดกับกลุ่มเป้าหมายนี้อีกครั้ง ไม่ว่าจะด้วยช่องทาง Search Marketing, Email Marketing หรือ Social Media Marketing จึงมีโอกาสสร้างยอดขายได้มากกว่า ไม่เสียเงินและเวลาไปกับลูกค้าที่ไม่มีโอกาสตัดสินใจซื้อไปอย่างเปล่าประโยชน์ค่ะ
เหตุผลที่ 7 : ช่วยวางรากฐานที่มั่นคงให้กับองค์กร สามารถเติบโตต่อไปได้อย่างเป็นระบบ
แม้ว่าจะมีทรัพยากรที่เพียงพอ แต่ถ้าขาดทักษะ Digital Strategy สิ่งเหล่านี้อาจจะสูญเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริษัทขนาดใหญ่ ที่คุณสามารถพบเห็นแต่ละส่วนขององค์กร ทำการตลาดโดยใช้เครื่องมือที่แตกต่างกัน เอเจนซี่ที่แตกต่างกัน ค่าใช้จ่ายต่างกัน แต่กลับให้ผลลัพธ์ที่พอๆกัน
ถ้าบริษัทมีการวางกลยุทธ์ที่ดี จะเห็นช่องโหว่ของปัญหานี้ และแก้ไขโดยวางกลยุทธ์ในเรื่องของทีม จัดระบบทีมงานด้านดิจิทัล (Digital Business Structures) ให้มีความเหมาะสมกับขนาดของธุรกิจ สถานที่ตั้งของแต่ละสาขาของบริษัท รวมถึงปัจจัยอื่นๆ เมื่อมีการจัดระบบทีมงานด้านดิจิทัลได้เหมาะสมแล้ว ก็จะสามารถประเมินทักษะของบุคลากรด้านดิจิทัล เพื่อจัดวางให้เหมาะสมในแต่ละส่วนขององค์กร เพื่อไม่ให้เกิดความแตกต่าง เป็นที่มาให้ธุรกิจต้องเสียเงินและเวลาไปอย่างซ้ำซ้อนค่ะ
และนี่คือ 7 เหตุผลที่จะทำให้คุณรู้ว่า “ทำไมธุรกิจจึงต้องมี Digital Marketing Strategy” มีรายละเอียดอีกหลายๆอย่างในการวางกลยุทธ์ที่เป็นส่วนสำคัญในการทำให้ธุรกิจของคุณแข็งแกร่งในตลาด และยังเติบโตแบบก้าวกระโดดจากคู่แข่งได้ ถ้าหากคุณไม่สร้างเสาหลักการตลาดของธุรกิจให้ดี คุณอาจจะเสียทรัพยากร ไม่ว่าจะเป็นเงินหรือเวลาไปอย่างไม่เกิดประสิทธิภาพ รวมถึงบริษัทของคุณก็จะตามไม่ทันคู่แข่ง ถ้าพวกเขามีการวางกลยุทธ์ที่ดีกว่า และส่วนแบ่งทางการตลาดที่คุณเคยมีก็จะโดนแย่งไปจากบริษัทใหม่ๆที่เพิ่งเข้ามาได้ค่ะ
จะดีกว่าไหม…ถ้าคุณเริ่มวางกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ตั้งแต่วันนี้ ในรูปแบบที่ครอบคลุม และถูกต้องตรงประเด็น
ผ่านการเรียนคอร์ส DMS (Digital Marketing Specialist) ทั้ง 6 สัปดาห์ ที่จะหยิบทุกๆเนื้อหาและทักษะสำคัญทั้งหมดในการทำ Digital Marketing ที่คุณควรรู้ มาถ่ายทอดผ่านวิทยากรที่เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ โดยเฉพาะค่ะ
ซึ่งเนื้อหาสำคัญในแต่ละสัปดาห์มีดังต่อไปนี้ค่ะ
สัปดาห์ที่ 1 : Digital Strategy
สัปดาห์ที่ 2 : Digital Customers Personas & Influencer Marketing
สัปดาห์ที่ 3 : Social Media Marketing Strategy & Digital KPI
สัปดาห์ที่ 4 : E-Commerce & Search PPC
สัปดาห์ที่ 5 : Search Engine Marketing
สัปดาห์ที่ 6 : Digital Marketing Team Development
สามารถอ่านรายละเอียดหลักสูตร หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ตามลิงก์ด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ
https://stepstraining.co/digital-marketing-specialist
ที่มา
https://blog.hubspot.com/marketing/digital-strategy-guide
https://digitalbrandinginstitute.com/digital-strategy/
https://www.smartinsights.com/digital-marketing-strategy/digital-strategy-development/10-reasons-for-digital-marketing-strategy/