ปัจจุบันการทำธุรกิจแบบ B2B ในยุค Marketing 5.0 ที่จะต้องเข้าถึงลูกค้าทั้งในโลกออฟไลน์ และ ออนไลน์มีความท้าทายอยู่มาก ทั้งในเรื่องของการแข่งขันที่สูงขึ้น การใช้เครื่องมือ หรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาปรับใช้กับธุรกิจ รวมถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่มีอยู่หลากหลาย ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการทำธุรกิจ B2B ในปัจจุบัน จึงทำให้ นักการตลาดจำเป็นที่จะต้องวางแผนอย่างมีระบบ และ เหมาะสมกับสถานการณ์การวางกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และ ยกระดับการทำธุรกิจ ให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น อีกทั้ง ยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้าง Engagement และ Lead Generation ให้กับธุรกิจ
1.ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อสร้างการรับรู้ให้กับธุรกิจ B2B
การสร้างการรับรู้ในที่นี้ ไม่ใช่เพียงแค่ให้ผู้บริโภครับรู้ว่าธุรกิจของเราทำเกี่ยวกับอะไร หรือธุรกิจของเรามีชื่อว่าอะไร แต่การสร้างการรับรู้ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือการทำให้ผู้บริโภครับรู้ว่าธุรกิจของเรามีความสำคัญอย่างไร สามารถช่วยเหลืออะไรพวกเขาได้บ้าง และ มีความแตกต่างจากคู่แข่งธุรกิจรายอื่นๆอย่างไร ซึ่งนักการตลาดจะคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับคำว่า Brand Awareness นั่นเอง ซึ่งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียในปี 2021 เปรียบเสมือนศูนย์กลางที่รวบรวมผู้คนไว้มากมาย หากธุรกิจ B2B สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถสร้างการรับรู้ได้แบรนด์มากเลยทีเดียว
แต่การจะสร้างการรับรู้ที่มีประสิทธิภาพได้นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ถูกวิธี ควรทำให้แน่ใจว่าสิ่งที่ธุรกิจต้องการจะสื่อสารออกไป ผู้บริโภคจะได้รับข้อมูลครบถ้วนและสามารถเข้าใจได้ ซึ่งสิ่งที่ควรทำเป็นลำดับแรกๆสำหรับธุรกิจ B2B ที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการสร้างการรับรู้คือการ…
2.ให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค
ธุรกิจ B2B หลายราย มุ่งเน้นไปที่การสร้างการรับรู้แบรนด์ ด้วยการจ่ายค่าโปรโมตโฆษณา จนลืมสิ่งที่สำคัญอย่างการให้ข้อมูลหรือความรู้ที่เป็นประโยชน์กับผู้บริโภคไป ธุรกิจ B2B หลายรายที่ใช้งานโซเชียลมีเดีย มักจะให้ความสำคัญไปกับจำนวนการกดไลก์ หรือจำนวนยอดวิว โดยลืมคำนึงถึงสิ่งสำคัญลำดับแรก ที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต้องการ ซึ่งสิ่งที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต้องการคือข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับธุรกิจ เพราะเหตุนี้จึงทำให้ผลลัพธ์จากการดำเนินธุรกิจผ่านโซเชียลมีเดียไม่เป็นไปตามแผนที่ทางธุรกิจได้กำหนดไว้
การที่ผู้บริโภคจะตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าจากธุรกิจ B2B จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการตัดสินใจนานพอสมควร เพราะการตัดสินใจซื้อสินค้าจากธุรกิจ B2B แต่ละครั้งย่อมมีค่าใช้จ่ายที่สูง ซึ่งการที่หลายธุรกิจมุ่งเน้นไปที่การสร้างการรับรู้ถือว่าไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่การสร้างการรับรู้ที่ไม่ตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมาย จะส่งผลให้ธุรกิจได้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่วางแผน
ในทางกลับกัน การสร้างการรับรู้จะต้องคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ด้วยว่าสิ่งที่เราสื่อสารไปนั้นสามารถตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายหรือไม่ ไม่เช่นนั้นผลลัพธ์ที่ได้ก็จะตรงกันข้ามกับสิ่งที่ธุรกิจตั้งเป้าหมายไว้ ผู้อ่านทุกท่านลองนึกภาพตามนะครับ หากมีพ่อค้าคนหนึ่งตะโกนเสียงดังเพื่อที่จะขายสินค้าอย่างหนึ่งที่เราไม่มีความต้องการที่จะซื้อ ในช่วงแรกหลายคนคงเลือกที่จะรับฟัง และ จดจำเอาไว้ แต่ถ้าหากในครั้งต่อไป พ่อค้าคนเดิมยังตะโกนเสียงดังเพื่อที่จะขายสินค้าชิ้นนั้นให้กับเราอยู่อีก แน่นอนว่าต้องสร้างความรำคาญให้กับเราอย่างแน่นอนเพราะไม่ต่างอะไรกับการสร้างการรับรู้ที่ไม่ได้ตอบโจทย์ความต้องการของเรา
จะดีกว่าไหมถ้าหากธุรกิจ B2B ใช้พื้นที่โซเชียลมีเดียที่มีผู้คนรวมตัวกันอยู่มากมาย ในการให้ความรู้หรือข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ผู้บริโภคก็จะสามารถศึกษาข้อมูลเหล่านั้นเพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจได้ อีกทั้งตัวธุรกิจยังได้รับความน่าเชื่อถือและไม่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกเบื่อหน่ายหรือรู้สึกรำคาญอีกด้วย
ในหัวข้อนี้ ผู้เขียนได้เตรียมผลสำรวจทางสถิติจากบริษัท Backlinko ซึ่งเป็นบริษัทสำหรับการอบรมทักษะเพื่อการทำ SEO Marketing โดยผลสำรวจนี้ ช่วยยืนยันเกี่ยวกับการให้ความสนใจของผู้บริโภค ระหว่างคอนเทนต์ที่สามารถให้ความรู้ กับ คอนเทนต์ที่เกี่ยวกับข่าวสารของบริษัท ว่าคอนเทนต์รูปแบบไหนได้รับความสนใจจากผู้บริโภคส่วนใหญ่มากกว่ากัน ซึ่งผู้อ่านทุกท่านสามารถดูได้จากภาพด้านล่างได้เลยครับ
จะเห็นได้ว่า คอนเทนต์ที่สามารถให้ความรู้ ได้รับความสนใจมากกว่าคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับข่าวสารของบริษัทไม่ใช่น้อย ผู้เขียนหวังว่าหลังจากนี้ผู้อ่านทุกท่านคงสามารถตัดสินใจกันได้ง่ายขึ้นว่าธุรกิจ B2B ควรสร้างการรับรู้โดยทำคอนเทนต์รูปแบบใด
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ผู้อ่านทุกท่านคงทราบแล้วใช่ไหมครับว่าการสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากที่สุดทำอย่างไร ในหัวข้อถัดไป ผู้เขียนจะนำเสนอเกี่ยวกับวิธีที่จะช่วยให้การตัดสินใจของผู้บริโภคง่ายขึ้น และยังช่วยให้ธุรกิจ B2B ได้รับความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งวิธีต่อไปคือการ..
3.สร้างความไว้วางใจให้กับผู้บริโภค
หนึ่งในข้อดีของการทำธุรกิจบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียคือ หากเราทำธุรกิจด้วยความซื่อตรง โปร่งใส และตรวสอบได้ ว่ามีที่มาที่ไป จะทำให้ผู้บริโภครู้สึกประทับใจ และ เกิดประสบการณ์ในเชิงบวกต่อแบรนด์ (Customer Experience) ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือคำชมหรือการพูดถึงในเชิงที่ดี ข้อความเหล่านั้นผู้คนจะสามารถค้นหาและพบเจอได้อย่างง่ายดาย เราสามารถนำข้อความต่างๆมาแบ่งปันให้ผู้บริโภครายอื่นๆที่ไม่เคยเห็นได้รับรู้ผลงานและไว้วางใจในตัวธุรกิจของเรา รวมไปถึงยังสามารถช่วยลดข้อเสียเปรียบระหว่างการแข่งขันระหว่างธุรกิจได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งวิธีนี้ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สามารถพิสูจน์ผลงานหรือสิ่งที่ทางธุรกิจได้ทำมาทั้งหมด
ในหัวข้อนี้ ผู้เขียนได้เตรียมตัวอย่างที่เกี่ยวกับการทำธุรกิจจนได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคมาให้ผู้อ่านทุกท่านได้ดูเป็นตัวอย่าง ซึ่งภาพด้านล่างคือ การประกาศผลรางวัล G2 Best Software Awards 2021 โดยทางบริษัท Miro ซึ่งเป็นธุรกิจด้านเว็บไซต์สำหรับการทำงานร่วมกันแบบออนไลน์ ได้รับการเสนอชื่อให้ได้รับรางวัล ซึ่งผู้ที่เสนอชื่อคือกลุ่มผู้ใช้งานที่ไว้วางใจ และ เลือกใช้บริการเว็บไซต์ของบริษัท Miro นั่นเอง
จะเห็นได้ว่าถ้าเราสามารถสร้างความไว้วางใจให้กับผู้บริโภคได้แล้ว ผลลัพธ์ที่ตามมาจะต้องคุ้มค่าอย่างแน่นอน อีกทั้งธุรกิจก็จะสามารถขับเคลื่อนและเติบโตไปในทางที่ดีมากยิ่งขึ้นด้วย
ในหัวข้อถัดไป ผู้เขียนจะพาผู้อ่านทุกท่านไปเรียนรู้อีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งวิธีที่ผู้เขียนกล่าวถึงคือการ…
4.สร้างความประทับใจให้กับธุรกิจด้วย Brand Voice
Brand Voice ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญต่อการทำธุรกิจเป็นอย่างมาก เปรียบเสมือนตัวแทนที่จะคอยถ่ายทอดความรู้สึก อารมณ์ และบุคลิกของแบรนด์เพื่อให้ผู้บริโภครับรู้
หนึ่งในปัญหาที่ธุรกิจ B2B ส่วนใหญ่พบเจอคือเรื่องของภาพลักษณ์ที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่มองว่าค่อนข้างทางการมากจนเกินไป ซึ่งทำให้ธุรกิจ B2B ได้รับความสนใจค่อนข้างน้อย และไม่สามารถดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคได้
ที่ผ่านมา การทำ Brand Voice ของธุรกิจ B2B ทำให้ใครหลายรู้สึกว่าเข้าถึงได้ยากและดูจริงจังมากจนเกินไป การทำธุรกิจอย่างมุ่งมั่นและจริงจังไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่จะดีกว่าไหมถ้าเราสามารถทำธุรกิจอย่างจริงจังและทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าธุรกิจของเราสามารถเข้าถึงได้ง่ายและเป็นกันเองกับพวกเขา
เพื่อให้ผู้อ่านทุกท่านสามารถเห็นภาพได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ผู้เขียนจึงขออนุญาตนำตัวอย่างการทำ Brand Voice ของบริษัท Clickup ซึ่งเป็นธุรกิจแอปพลิเคชันเกี่ยวกับการทำงานในองค์กรแบบครบวงจร มาให้ผู้อ่านทุกท่านได้ดูเป็นตัวอย่าง ซึ่งผู้อ่านทุกท่านสามารถดูได้ตามภาพด้านล่างเลยครับ
บริษัท Clickup ถือเป็นบริษัท B2B ที่ดำเนินธุรกิจแบบจริงจังเหมือนกับธุรกิจ B2B รายอื่น แต่ข้อแตกต่างที่ทำให้บริษัท Clickup สามารถใกล้ชิดกับผู้บริโภคและได้รับความประทับใจสาเหตุเป็นเพราะ การทำ Brand Voice ของพวกเขาค่อนข้างมีความเป็นกันเอง จะสังเกตเห็นได้จากข้อความที่ใช้สื่อสาร ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ข้อความธรรมดา แต่เมื่ออ่านแล้วกับให้ความรู้สึกเหมือนกำลังพูดคุยอยู่กับเพื่อนสนิท การใช้ภาษาที่ไม่ทางการจนเกินไป และเพิ่มอรรถรสในการอ่านด้วยการสื่อสารโดยใช้สัญลักษณ์อิโมจิเพื่อให้ผู้อ่านรู้สึกเป็นกันเองมากยิ่งขึ้น
ดังนั้นการปรับเปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้มุมมองของผู้คนที่มีต่อธุรกิจ B2B เปลี่ยนไปอย่างมาก และไม่ใช่เพียงธุรกิจ B2B เท่านั้นที่สามารถนำวิธีนี้ไปประยุกต์ใช้ แต่ทุกธุรกิจก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
หลังจากที่ผู้อ่านทุกท่านทราบกันแล้วว่าต้องทำอย่างไรให้ธุรกิจ B2B มีความน่าสนใจและใกล้ชิดกับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ผู้เขียนจะขออนุญาตพาผู้อ่านทุกท่านไปเรียนรู้อีกหนึ่งหัวข้อสำคัญที่เป็นปัจจัยหลักในการทำธุรกิจ B2B และไม่ควรมองข้ามเป็นอันขาด ซึ่งหัวข้อถัดไปคือการ..
5.เลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมในการใช้กลยุทธ์โซเชียลมีเดีย
หนึ่งในปัจจัยหลักที่สำคัญสำหรับการทำธุรกิจบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่หลายธุรกิจยังไม่แน่ใจว่าจะวางแผนอย่างไรคือเรื่องของการเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจ หลายธุรกิจอาจจะมีคอนเทนต์ที่ดี มีรูปภาพหรือวิดีโอที่ดึงดูดน่าสนใจ แต่กลับทำพลาดตรงที่ตัดสินใจเลือกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ไม่เหมาะสมกับธุรกิจหรือรูปแบบการทำการตลาด
ในปัจจุบันมีหลายธุรกิจที่มีความเข้าใจว่าหากต้องการทำธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ และเป็นที่น่าสนใจควรที่จะทำการตลาดผ่านทุกแพลตฟอร์ม ซึ่งในความเป็นจริงแล้วแต่ละแพลตฟอร์มมีวัตถุประสงค์ในการใช้งานแตกต่างกันไป
สำหรับหัวข้อนี้ผู้เขียนจะอธิบายให้ผู้อ่านทุกท่านทราบว่า แต่ละแพลตฟอร์มมีวัตถุประสงค์ในการใช้งานอย่างไร และแพลตฟอร์มไหนเหมาะสำหรับธุรกิจรูปแบบใด เรามาเริ่มกันที่แพลตฟอร์มแรกกันครับ
1.LinkedIn
หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า LinkedIn เป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก ไม่น้อยไปกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ อีกทั้งยังเป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะสำหรับการทำธุรกิจ B2B ซึ่งถือเป็นจุดที่แตกต่างจากแพลตฟอร์มอื่นๆด้วยเช่นกัน แต่ในปัจจุบันยังมีหลายธุรกิจที่ไม่สามารถดึงประสิทธิภาพในการใช้งานแพลตฟอร์มนี้ออกมาให้เห็นกันมากเท่าไรนัก
วันนี้ทางผู้เขียนจึงอยากจะแนะนำการใช้ LinkedIn เพื่อการทำธุรกิจ B2B ให้ผู้อ่านทุกท่านได้เข้าใจกันมากยิ่งขึ้น เรามาดูกันดีกว่าครับว่าแพลตฟอร์ม LinkedIn สามารถทำอะไรได้บ้าง และมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน
โดยสิ่งที่ LinkedIn สามารถทำได้คือ..
- สามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจด้วยบทความที่เป็นประโยชน์
การทำคอนเทนต์ที่มีคุณภาพในแพลตฟอร์ม LinkedIn นอกจากจะได้รับความสนใจจากผู้ใช้งานแล้ว ตัวแพลตฟอร์มยังสามารถให้คะแนนกับคอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์ ซึ่งคอนเทนต์ที่ได้รับคะแนนสูงจะมีโอกาสแสดงผลขึ้นที่หน้าฟีด ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานคนอื่นๆได้เห็นบทความที่เราทำมากขึ้น และถ้าหากผู้ใช้งานคนอื่นๆมีส่วนร่วมกับบทความที่เราทำมากเท่าไร ความน่าเชื่อถือของธุรกิจจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน
- ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมให้กับธุรกิจด้วยโพลสำรวจ
เราสามารถสร้างโพลสำรวจในแพลตฟอร์ม LinkedIn ได้ โดยสามารถกำหนดระยะเวลาในการโหวตโพลสำรวจได้นานถึง 2 สัปดาห์ ซึ่งฟีเจอร์นี้จะสามารถช่วยให้ธุรกิจ B2B ได้รับรู้ความสนใจของผู้ใช้งานส่วนใหญ่และสามารถนำข้อมูลที่ได้รับไปพัฒนาธุรกิจได้ อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ใช้งานมีส่วนร่วมกับธุรกิจ (Engagement) มากยิ่งขึ้นด้วย
- เพิ่มโอกาสในการหาว่าที่ลูกค้าจากการสร้างชุมชนธุรกิจ
ในปัจจุบันแพลตฟอร์ม LinkedIn มีกลุ่มมากกว่า 2 ล้านกลุ่ม ซึ่งถ้าหากเราเลือกเข้าร่วมกลุ่มที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา หรือกลุ่มที่มีการอัปเดตข้อมูลข่าวสารในอุตสาหกรรมธุรกิจเดียวกันกับเราอยู่เสมอ จะช่วยให้ธุรกิจของเราได้รับข้อมูลมากยิ่งขึ้นและสามารถนำไปพัฒนาธุรกิจ อีกทั้งยังสามารถเพิ่มโอกาสในการสร้างการรับรู้แบรนด์ให้กับธุรกิจ รวมไปถึงเพิ่มโอกาสที่จะพบกับผู้ใช้งานหรือว่าที่ลูกค้าที่มีความสนใจในธุรกิจของเราด้วยเช่นกัน
และทั้งหมดที่ผู้เขียนได้กล่าวไปข้างต้นคือสิ่งที่แพลตฟอร์ม LinkedIn สามารถช่วยให้การทำธุรกิจ B2B ของหลายธุรกิจมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เราจะเห็นได้ว่าในแต่ละหัวข้อจะช่วยส่งเสริมในเรื่องของความน่าเชื่อถือ ซึ่งเมื่อเกิดความน่าเชื่อถือแล้วการมีส่วนร่วมกับธุรกิจก็จะเพิ่มมากขึ้น สุดท้ายแล้วโอกาสในการปิดการขายก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเพราะมีจำนวนว่าที่ลูกค้าเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง
ในหัวข้อถัดไป ผู้เขียนจะพาผู้อ่านไปเรียนรู้การทำธุรกิจบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่มีจำนวนผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก ซึ่งแพลตฟอร์มต่อไปคือ..
2.Facebook
คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลกจะเป็นแพลตฟอร์มใดได้ถ้าหากไม่ใช่ Facebook แน่นอนว่าด้วยความที่เป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก ธุรกิจ B2B หลายรายจึงอยากจะทำการตลาดผ่านแพลตฟอร์มนี้เป็นหลัก แต่จะมีสักกี่ธุรกิจที่รู้ว่าต้องทำการตลาดอย่างไรบนแพลตฟอร์ม Facebook ถึงจะสามารถทำให้ธุรกิจมีประสิทธิภาพมากที่สุด
หากผู้อ่านทุกท่านอยากรู้ว่าการทำธุรกิจ B2B บนแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลกต้องทำอย่างไรถึงจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด ทางผู้เขียนจะขออนุญาตเริ่มต้นอธิบายให้ผู้อ่านทุกท่านทราบต่อจากนี้ โดยวิธีแรกที่ผู้เขียนต้องการแนะนำผู้อ่านทุกท่านคือการ..
- ใช้ Facebook Live เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วม
การทำวิดีโอที่ดึงดูดละน่าสนใจเป็นสิ่งที่ธุรกิจส่วนใหญ่นิยมทำกัน แต่ลืมอย่าลืมว่าผลลัพธ์ที่ได้จากการทำวิดีโอนั้นอาจไม่ได้สูงมากนักสำหรับธุรกิจ B2B หนึ่งในปัญหาที่ธุรกิจ B2B พบเจอคือผู้บริโภคส่วนใหญ่มองว่าธุรกิจ B2B สามารถเข้าถึงได้ยาก จึงทำให้ผู้บริโภคอาจได้รับข้อความที่ทางธุรกิจสื่อสารออกไปไม่ครบถ้วนหรือไม่เข้าใจในบางส่วน เมื่อผู้บริโภคมีคำถามก็เกรงที่จะติดต่อกับธุรกิจเพื่อสอบถามโดยตรง
การใช้ Facebook Live จะช่วยตอบโจทย์ และ แก้ไขปัญหาในสิ่งที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่พบเจอ ซึ่งกลุ่มธุรกิจที่กำลังรับชมสามารถพูดคุยโต้ตอบกับธุรกิจได้แบบเรียลไทม์ เกิดการมีส่วนร่วมระหว่างกัน ได้เห็นการสาธิตวิธีใช้สินค้าหรือบริการต่างๆของธุรกิจ ยิ่งไปกว่านั้นทางธุรกิจก็จะสามารถเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้มากยิ่งขึ้นด้วย และที่สำคัญมุมมองที่ผู้บริโภคมีต่อธุรกิจ B2B ก็จะมีแนวโน้มเปลี่ยนไปในทางที่ดีมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
- สร้างสรรค์วิดีโอคุณภาพด้วย Facebook Watch
Facebook Watch คือหนึ่งในฟีเจอร์ใหม่ของทาง Facebook ที่รวบรวมวิดีโอที่มีเนื้อหาระดับพรีเมียมจากครีเอเตอร์ทั้งหลายมาอยู่ในฟีเจอร์นี้ ความแตกต่างของวิดีโอที่รวบรวมอยู่ใน Facebook Watch กับวิดีโอที่ผู้ใช้งานโพสต์ลงทั่วไปคือรูปแบบการจัดเรียงวิดีโอ ซึ่งฟีเจอร์ Facebook Watch จะมีการจัดเรียงเนื้อหา ช่วงเวลา และ หัวข้อที่ผู้ใช้งานสนใจได้ อีกทั้งยังสามารถถ่ายทอดสดได้อีกด้วย ซึ่งฟีเจอร์นี้นับเป็นฟีเจอร์ที่เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับธุรกิจ B2B เพราะนอกจากวิดีโอจะถูกเผยแพร่ใน Facebook Watch แล้ว ยังสามารถช่วยให้ผู้ใช้งานได้มีส่วนร่วมกับเนื้อหาวิดีโอผ่านการถ่ายทอดสดได้อีกด้วย อีกทั้งตัวเนื้อหาวิดีโอก็จะถูกจัดให้เป็นวิดีโอที่มีคุณภาพเนื้อหาระดับพรีเมียม ซึ่งช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจเป็นอย่างมาก
จบไปแล้วครับกับการใช้แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลกอย่าง Facebook ในการทำธุรกิจ B2B ลำดับถัดไปจะเป็นหัวข้อเกี่ยวกับแพลตฟอร์มยอดนิยมที่มีผลต่อการซื้อของผู้บริโภคไปไม่น้อยกว่าแพลตฟอร์มอย่าง Facebook แน่นอน ซึ่งแพลตฟอร์มลำดับถัดไปคือ..
3.Instagram
Instagram ถือเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 200 ล้านคน คอนเทนต์ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับรูปภาพ และ วิดีโอ ซึ่งผู้ใช้งานจะสามารถเพลิดเพลินไปกับเนื้อหาต่างๆที่สนใจได้มากมาย ที่พิเศษไปกว่านั้น Instagram ยังได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆที่จะช่วยให้การทำคอนเทนต์ต่างๆมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม ซึ่งในหัวข้อนี้ทางผู้เขียนจะแนะนำให้ผู้อ่านทุกท่านทราบว่ามีฟีเจอร์อะไรบ้างบนแพลตฟอร์ม Instagram ที่เหมาะสำหรับการทำธุรกิจ B2B หากพร้อมแล้วไปเริ่มกันที่วิธีแรก ซึ่งก็คือการ..
- การถ่ายทอดเรื่องราวแบบเรียลไทม์ผ่าน Instagram Stories
การลงคอนเทนต์ที่เป็นรูปภาพหรือวิดีโอยังถือเป็นแนวทางหลักที่ผู้ใช้งานส่วนใหญ่เลือกปฏิบัติกัน แต่การเพิ่มฟีเจอร์ Instagram Stories เข้ามาบนแพลตฟอร์ม มีส่วนทำให้พฤติกรรมของผู้ใช้งานเปลี่ยนไปมากจากเดิม
ปัจจุบันมีผู้ใช้งานเลือกใช้ฟีเจอร์ Instagram Stories ไม่น้อยไปกว่าการโพสต์เนื้อหาแบบปกติ ข้อแตกต่างระหว่างการโพสต์ผ่าน Instagram Stories และ การโพสต์แบบปกติคือ เนื้อหาส่วนใหญ่ที่ผู้ใช้งานโพสต์ลง Instagram Stories จะเป็นคอนเทนต์รูปแบบเรียลไทม์ ไม่ดูจริงจังมากจนเกินไปเหมือนกับการโพสต์เนื้อหาแบบปกติที่ต้องผ่านการตกแต่งมาในระดับหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นหากมีผู้ใช้งานคนใดที่รับชมหรือโต้ตอบกับธุรกิจเป็นประจำ เมื่อเราโพสต์ Instagram Stories ครั้งต่อไป พวกเขาจะได้เห็นโพสต์ของเราอยู่ในลำดับแรกๆ
หากธุรกิจ B2B ต้องการใกล้ชิดกับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น หรือต้องการให้ภาพลักษณ์ของธุรกิจดูเป็นมิตรมากกว่าเดิม การเลือกใช้ Instagram Stories ก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย
- เพิ่มความน่าสนใจให้กับเนื้อหาวิดีโอด้วย Reels
อีกหนึ่งฟีเจอร์ใหม่ของ Instagram ที่ได้รับความนิยมไม่น้อยไปกว่า Instagram Stories คือ Reels หรือวิดีโอสั้นที่มีความยาวของคลิปวิดีโอไม่เกิน 30 วินาที ซึ่งสามารถใส่ลูกเล่นได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็นเอฟเฟกต์ต่างๆ เพลงประกอบ หรือแม้กระทั่งอื่นๆอีกมากมาย
ความน่าสนใจของการนำฟีเจอร์ Reels มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจ B2B คือ ธุรกิจ B2B สามารถสร้างสรค์คอนเทนต์วิดีโอที่แปลกใหม่ โดยใช้ลูกเล่นที่หลากหลายของฟีเจอร์ Reels เข้ามาช่วย อีกทั้งผู้ใช้งานยังใช้เวลาในการรับสารที่ไม่นานจนเกินไปทำให้มีสมาธิกับเนื้อหาที่ทางธุรกิจตั้งใจจะสื่อสารเพื่อให้พวกเขาได้รับรู้ด้วย คลิปวิดีโอส่วนใหญ่ที่ลงผ่านฟีเจอร์ Reels จะให้ความรู้สึกเดียวกับ Instagram Stories เพราะเป็นเนื้อหาวิดีโอที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าการโพสต์วิดีโอแบบปกติ ซึ่งจะช่วยให้เนื้อหาวิดีโอมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
ในหัวข้อถัดไปจะเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียลำดับสุดท้ายที่ทางผู้เขียนจะแนะนำให้กับผู้อ่านทุกท่าน โดยแพลตฟอร์มดังกล่าวมีธุรกิจ B2B จำนวนมากที่เลือกใช้งานรองลงมาจาก LinkedIn ซึ่งแพลตฟอร์มที่กล่าวถึงคือ..
4.Twitter
ผู้อ่านทุกท่านทราบไหมครับว่าแพลตฟอร์มทวิตเตอร์ในปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากถึง 300 ล้านคนต่อเดือน และมีจำนวนการทวีตมากกว่า 500 ล้านทวีตต่อวัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเลยถ้าหากธุรกิจ B2B จะเลือกใช้แพลตฟอร์มทวิตเตอร์ในการทำการตลาด สังเกตได้จากจำนวนผู้ใช้งานและอัตราการทวีตในแต่ละวันที่ค่อนข้างสูงมาก
แล้วแพลตฟอร์มที่มีอัตราการใช้งานสูงมากถึงขนาดนี้จะสามารถช่วยให้การทำธุรกิจ B2B มีประสิทธิภาพขึ้นได้อย่างไร หากผู้อ่านพร้อมแล้วผู้เขียนจะขออนุญาตเริ่มต้นอธิบายวิธีที่สามารถช่วยให้ผู้ใช้งานทวิตเตอร์มีส่วนร่วมกับธุรกิจ B2B มากขึ้น โดยวิธีแรกคือ
- ใช้ Brand Voice เพื่อเชื่อมโยงกับผู้ใช้งานบน Twitter
สำหรับวิธีการทำ Brand Voice สามารถทำได้หลากหลาย แต่ในหัวข้อนี้ผู้เขียนจะกล่าวถึงวิธีทำ Brand Voice ที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจ B2B ที่ต้องการจะทำการตลาดบนแพลตฟอร์ม Twitter
หากธุรกิจ B2B ถูกมองว่ามีภาพลักษณ์ที่ดูจริงจังมากจนเกินไป เราอาจจะเริ่มต้นเปลี่ยนมุมมองของพวกเขาโดยการแท็กข้อความพูดคุยกับกลุ่มผู้ใช้งานหรือธุรกิจอื่นๆเพื่อเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจได้ใกล้ชิดกับพวกเขามากยิ่งขึ้น หรืออาจจะเป็นการโพสต์คอนเทนต์ที่ใช้ข้อความในการสื่อสารที่ให้ความรู้สึกเป็นกันเอง เช่น คอนเทนต์ที่เป็นการอัปเดตชีวิตประจำวันทั่วไปของผู้บริหาร หรือคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับประสบการณ์ที่ทำให้รู้สึกสนุกสนาน เป็นต้น
การปรับเปลี่ยน Brand Voice เพียงเล็กน้อยตามวิธีดังกล่าวข้างต้น ก็สามารถทำให้ธุรกิจได้ใกล้ชิดกับผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้นและยังสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับพวกเขาได้อีกด้วย
- ใช้ประโยชน์จาก Twitter Trends ในการทำธุรกิจ B2B
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าแพลตฟอร์มทวิตเตอร์มีฟีเจอร์ที่สามารถดูได้ว่าเทรนด์อะไรกำลังเป็นที่พูดถึงในเวลานั้น ลำดับของเทรนด์ในทวิตเตอร์ที่ได้รับความสนใจจะแสดงผลแบบเรียลไทม์ ซึ่งถ้าหากธุรกิจ B2B สามารถจับกระแสของเทรนด์ ณ เวลานั้นได้ แล้วนำมาสร้างสรรค์เป็นคอนเทนต์ของธุรกิจพร้อมติด แฮชแท็ก (Hashtag) เกี่ยวกับเทรนด์นั้นๆ ทางผู้เขียนรับรองได้ว่าคอนเทนต์นั้นจะได้รับความสนใจจากผู้ใช้งานทวิตเตอร์ส่วนใหญ่แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากผู้ใช้งานทวิตเตอร์เข้ามามีส่วนร่วมในคอนเทนต์ ไม่ว่าจะเป็นการรีทวีต ตอบกลับข้อความ หรือแม้กระทั่งส่งต่อให้ผู้อื่นอ่าน คอนเทนต์ที่ทำก็จะถูกพูดถึงมากยิ่งขึ้นและส่งผลดีต่อธุรกิจ
สรุป
จบไปแล้วครับกับบทความ เทคนิคการทำธุรกิจ B2B ให้มีประสิทธิภาพด้วย Social Media Strategy ผู้อ่านทุกท่านคงจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจ B2B และมีมุมมองที่เปลี่ยนไปด้วยใช่ไหมครับ อีกทั้งในบทความยังได้สอดแทรกกลยุทธ์โซเชียลมีเดียของแต่ละแพลตฟอร์มที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจ B2B ไว้ด้วยครับ
หลังจากนี้ผู้อ่านทุกท่านสามารถนำความรู้จากบทความไปใช้ประโยชน์ในการทำธุรกิจ หรือหากมีความสนใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Digital Marketing สามารถติดตามบทความแนะนำอื่นๆที่เกี่ยวข้องของทาง STEPS Academy ได้ครับ
อ้างอิง
sproutsocial.com
wearesculpt.com