เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา นอกจาก Facebook จะมีการประกาศว่าจะเพิ่มฟีเจอร์ Shops เข้าไป ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจ ที่เรายังไม่อยากให้คุณมองข้าม นั่นคือการประกาศใช้เทคโนโลยี “Universal Product Recognition Model” เข้ามาช่วยพัฒนาด้านการเป็นแพล็ตฟอร์มการขายสินค้าออนไลน์ โดยเทคโนโลยีนี้จะเป็นการใช้งานร่วมกันระหว่างการฉายภาพเสมือนจริงสามมิติ หรือ AR (Augmented Reality) และ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้สามารถซื้อสินค้าผ่าน Facebook ได้ง่ายขึ้น
ที่มา Facebook
โดยก่อนที่จะไปดูรายละเอียดของ “Universal Product Recognition Model” ที่มีแกนหลักเป็นการใช้เทคโนโลยี AR เรามาทำความเข้าใจข้อดีของมันกันก่อน
Augmented Reality เทคโนโลยีที่น่าจับตาแม้ในช่วงเวลาพ้นวิกฤต
ในช่วงเวลาวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมาหลาย ๆ คนคงเห็นว่าเทคโนโลยีใหม่ ๆ เริ่มมีการถูกปรับใช้เข้ากับธุรกิจที่แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากปัจจัยหลายอย่างทั้ง พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และ การรณรงค์ให้เป็นไปตามหลัก Social Distancing
หนึ่งในเทคโนโลยีที่มีความโดดเด่นมาก ด้วยคุณสมบัติที่สามารถลดการสัมผัส และ ประหยัดเวลาได้ นั่นคือ AR (Augmented Reality) หรือ ที่ไทยเราคุ้นเคยกันว่ามันคือเทคโนโลยีการจำลองภาพเสมือนจริงแบบสามมิติผ่านกล้องมือถือ
การใ้ช้เทคโนโลยี AR เริ่มถูกใช้มากขึ้นในบรรดาธุรกิจประเภทขายสินค้า ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถดูหน้าตา หรือ ดูว่าสินค้ามีรายละเอียดอย่างไร โดยไม่ต้องไปถึงสถานที่จริง ซึ่งนับว่ามีคุณสมบัติเหมาะกับช่วงเวลาโควิด-19
เมื่อพูดถึงเทคโลยี AR กับช่วงเวลาโควิด-19 หลายคนคงอ่านแล้วคิดว่ามันน่าสนใจ แต่หลายคนก็อาจจะยังสงสัยว่าหรือมันจะเป็นแค่เทรนด์ ?
ในความเป็นจริงถึงแม้ว่าจะไม่มีวิกฤตโควิดในครั้งนี้ ทิศทางการใช้งานเทคโนโลยี AR ก็กำลังเติบโต ซึ่งจากสถิติระบุว่าการใช้เทคโนโลยี AR ในการซื้อขายสินค้าออนไลน์ผ่านมือถือมีแนวโน้มที่มากขึ้น ด้วยคุณสมบัติที่น่าสนใจ โดยเฉพาะคุณสมบัติสำหรับการใช้ในธุรกิจห้างค้าปลีก ซึ่งเว็บไซต์ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง “Yourstory” ได้ทำการสรุปข้อดีของเทคโนโลยีนี้ต่อธุรกิจมา 4 ข้อด้วยกัน
1. เพิ่มอัตราการมีส่วนร่วมกับแบรนด์ของลูกค้า
เทคโนโลยี AR ช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ใหม่ที่ทำให้สามารถสามารถลองสวมใส่ หรือ ลองใช้ เพื่อความมั่นใจและตัดสินใจซื้อง่ายมากขึ้น
2. ลูกค้าซื้อสินค้าอย่างปลอดภัย และ ถูกสุขอนามัย
อย่างที่กล่าวไปตอนต้นว่า AR ช่วยลดการสัมผัสได้ ซึ่งทำให้ลูกค้ามั่นใจ เพราะไม่ต้องไปซื้อสินค้าถึงสถานที่จริง
3. ร้านไม่แออัด แต่กลับมียอดขายเพิ่มขึ้น
ไม่ใช่แค่การเพิ่มยอดขายบนแพล็ตฟอร์มออนไลน์เท่านั้น ที่ทำให้จำนวนคนไปร้านจริงลดลง เทคโนโลยีนี้ยังทำให้ร้านค้าสามารถอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าโดยไม่จำเป็นว่าจะต้องมีพนักงานขาย เพราะลูกค้าสามารถลอง หรือ หาข้อมูลง่าย ๆ เพียงแค่การใช้แท็บเล็ตหรือแอปพลิเคชัน
4. เพิ่มความสามารถในการทำการตลาดแบบ Personalization
การใช้เทคโนโลยี AR ทำให้ระบบสามารถบันทึกได้ว่าลูกค้าคนนั้น ๆ ต้องการอะไร ซึ่งในจุดนี้จะช่วยเปิดโอกาสให้เราสามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าได้แบบเฉพาะตัวบุคคลมากขึ้น
Facebook กับการใช้ AR และ AI สำหรับฟีเจอร์ใหม่ในรูปแบบ “Snap and Shop”
จากข้อดีของเทคโนโลยี AR ที่กล่าวไว้ด้านบน ก็คงไม่ต้องถามหาเหตุผลอะไรอีกว่าทำไม Facebook ถึงได้ให้ความสนใจในการใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อพัฒนาในด้าน E-commerce บนแพล็ตฟอร์ม
ทีนี้เรามาดูรายละเอียดกันดีกว่าครับว่าด้วยเทคโนโลยี AR ที่ทาง Facebook จะนำมาใช้ มันจะมีอะไรที่น่าสนใจ และ มีผลอะไรกับเรากันบ้าง
ที่มา siliconangle.com
เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ในการชอปปิง
ด้วยความหวังที่จะกลายเป็นหนึ่งในแพล็ตฟอร์มที่ส่งเสริมด้านธุรกิจ E-commerce ให้เติบโตมากขึ้นไป Facebook จึงได้ตั้งเป้าหมายที่จะสร้าง “Social-First Shopping Experience” ด้วยการใช้งาน ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) และ การจำลองภาพเสมือนจริงสามมิติ (Augmented Reality) รวมทั้งเทคโนโลยีช่วยเหลืออื่น ๆ เข้ามาเพื่อระบุตัวตน หรือ ชนิดของสินค้า ไม่ว่าจะเป็นของขนาดเล็กอย่างเสื้อผ้า หรือ ของตกแต่งบ้าน ไปจนถึงสินค้าขนาดกลาง หรือใหญ่อย่างรถยนต์
ที่มา Facebook
“ทำให้ทุกอย่างที่อยู่บนแพล็ตฟอร์ม สามารถระบุได้ และ สามารถซื้อได้ผ่านช่องทาง Facebook”
ด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ ดังกล่าวที่ Facebook นำมาใช้ ทำให้แค่เพียงผู้ใช้งานถ่ายภาพ หรือ ส่องกล้องมือถือเข้าไปยังสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ก็จะสามารถระบุได้ว่าสิ่งของเหล่านั้นคือสินค้าอะไร ลองจินตนาการดูกันสิครับว่าเรากำลังเดินอยู่ในห้าง แล้วเจอคนข้าง ๆ กำลังเดินถือกระเป๋าที่น่าสนใจ ด้วยฟีเจอร์นี้เราสามารถยกมือถือขึ้นมาแล้วส่องออกไป ก็จะทำให้เรารู้และสามารถสั่งซื้อได้ทันที ซึ่งกระบวนการนี้ถูกเรียกกันว่า “Snap and Shop” หรือ “ถ่ายแล้วซื้อทันที”
ที่มา Facebook
มุ่งให้ความสำคัญกับแบรนด์แฟชั่น และ ผู้ช่วยอัจฉริยะสำหรับผู้ใช้
การพัฒนาครั้งนี้จะไม่ได้มีแค่ตัวช่วยที่ทำให้เราสามารถถ่ายภาพสิ่งของที่อยู่ตรงหน้า แล้วสามารถระบุได้ว่ามันคือสินค้าอะไร แต่ Facebook ยังมีแผนที่จะใช้เทคนิคการ Personalize เข้ามามีส่วนร่วมด้วย โดยจากข้อมูลที่มีอยู่ ที่เราสามรถรู้ได้ตอนนี้คือ Facebook กำลังต้องการที่จะให้ สินค้าแฟชั่น เป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญของการเติบโตด้าน E-commerce ครั้งนี้
โดยแผนการที่ Facebook มีคือการนำกลยุทธ์ Personalization มาใช้ และจะมีการใส่ฟีเจอร์ AI ที่เปรียบเสมือนตู้เสื้อผ้าของเราที่จะคอยให้คำแนะนำ ตอบคำถามที่ทุก ๆ วันเรามักจะถามตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นวันนี้ใส่อะไรดี ? หรือ ตารางงาน หรือ อากาศวันนี้เหมาะจะใส่ชุดอะไร ?
ที่มา Facebook
เอาชนะคู่แข่งด้วยเทคโนโลยีที่มีความแม่นยำสูง
ถึงแม้ว่าคู่แข่งบางรายจะมีการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ไปก่อนหน้านี้ ทั้ง Amazon หรือ eBay ที่มีการออกฟีเจอร์ตัวช่วยในการเลือกชอปปิงสินค้าแฟชั่นออกมาแล้ว ตัวอย่างเช่น Style Snap ของ Amazon ที่ใช้ AI กับ Machine Learning มาทำงานร่วมกันเพื่อให้ผู้ใช้สามารถอัปโหลดรูปภาพ แล้วระบุได้ว่ามีสินค้าใดบ้างใน Amazon ที่คล้ายคลึงกัน แต่ Facebook ก็ยืนยันว่าสิ่งที่จะทำให้ Facebook โดดเด่นกว่าใครนั้นคือ “ความแม่นยำ”
ที่มา affiliate-program.amazon.com
Facebook ได้แสดงความมั่นใจในเรื่องความแม่นยำ จากการนำเทคโนโลยีชื่อ “Groknet“ เข้ามาใช้ในการระบุสินค้าผ่าน AR ครั้งนี้ ซึ่งสามารถระบุความแตกต่างได้กว่า 10,000 จุดในหนึ่งภาพ และยังสามารถลงลึกรายละเอียดอย่างแบรนด์ สี หรือ ขนาดได้เลยทีเดียว
ในความเป็นจริงเทคโนโลยี Groknet นี้ถูกทดลองใช้โดย Facebook Marketplace มาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งมันได้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถลิสต์สินค้าง่าย ๆ พร้อมกับการระบุคำอธิบายสั้น ๆ เพียงแค่ผู้ใช้อัปโหลดรูปสินค้าขึ้นไป นอกจากนี้มันยังสามารถแท็กและลิงก์กลับไปยังหน้าแสดงสินค้าของแบรนด์ได้อีกด้วย
ที่มา Facebook
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีนี้ที่ได้ทำการฝึกกับรูปภาพของผู้ใช้ที่อัปโหลดขึ้นไปบน Facebook จะถูกการันตีด้วยสถิติกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ในการระบุสินค้าประเภทตกแต่งบ้านและสวน ซึ่งทำให้เราสามารถมั่นใจได้ในระดับหนึ่ง แต่สำหรับสินค้าประเภทอื่นนั้น ก็ยังมีผลลัพธ์ที่ต่างออกไป ซึ่งเราก็ต้องติดตามกันต่อไปครับว่าสุดท้ายฟีเจอร์นี้จะสามารถทำได้ดีแค่ไหน และจะเปลี่ยนวิถีชีวิต และ ธุรกิจของเราไปยังไงบ้างในอนาคต
ที่มา
https://www.theverge.com/2020/5/19/21263523/facebook-marketplace-ai-object-recognition-shopping-groknet
https://www.forbes.com/sites/martineparis/2020/05/19/meet-facebooks-newest-shopping-ai/#592406d2a762
https://yourstory.com/2020/05/ar-help-retailers-win-customers-covid-19
https://ai.facebook.com/blog/powered-by-ai-advancing-product-understanding-and-building-new-shopping-experiences/