“Facebook” ช่องทางยอดนิยมที่ยังครองอันดับหนึ่งในเรื่องของจำนวนผู้ใช้งานที่มีมากที่สุดในไทย!!
รูปแสดงสถิติจำนวนการใช้งานโซเชียลมีเดียแต่ละแพลตฟอร์มในปี 2019
จำนวนการใช้งานที่เยอะมากขนาดนี้ ทำให้ Facebook เป็นช่องทางสำคัญที่ผู้ทำธุรกิจใช้ในการทำการตลาดมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการสร้าง Awareness และ Engagement พูดง่ายๆก็คือเป็นช่องทางหลักๆที่ใช้ในการโปรโมทเพื่อให้คนรู้จัก เห็นสินค้าและบริการ รวมถึงสร้างสัมพันธ์โต้ตอบกับผู้คนได้มากที่สุดนั่นเอง
แต่นั่นแหละค่ะ ยิ่งมีจำนวนคนใช้งานช่องทาง Facebook มากเท่าไหร่ การแข่งขันก็ยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการทำโฆษณา
หลายคนคงเจอปัญหา ทำไมยิงโฆษณาออกไปแล้ว คนไม่หยุดดู ไม่คลิก ไม่สนใจในโฆษณาของเรา ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายไปโดยเปล่าประโยชน์อยู่หลายครั้ง
ในวันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยนั้นกัน อย่างไรก็ตามความสำเร็จเกิดขึ้นจากหลายองค์ประกอบ ซึ่งในวันนี้จะขอนำเสนอในแง่มุมของ “ความน่าสนใจ” ผ่านตัวอย่างโฆษณาบน Facebook ของแบรนด์ต่างๆ ว่าพวกเขามีเทคนิคอย่างไรที่ทำให้โฆษณาน่าสนใจ เห็นแล้วอยากดู อยากคลิก ในแต่ละรูปแบบโฆษณาที่ต่างกันออกไปค่ะ
เพื่อความชัดเจนและนำไปปรับใช้ได้ง่ายที่สุด วันนี้เราจึงจะนำเสนอตัวอย่างโดยแบ่งตามรูปแบบของโฆษณาบน Facebook ดังต่อไปนี้
Facebook Video Ad (โฆษณาในรูปแบบวิดีโอ)
Facebook Carousel Ad (โฆษณารูปแบบภาพสไลด์ )
Facebook Carousel Ad เป็นโฆษณาที่เราสามารถใส่รูป หรือวิดีโอลงไปได้หลายๆรูป โดยผู้ชมโฆษณาจะรับชมโดยการเลื่อนสไลด์ซ้าย ขวาเพื่อชมสินค้าค่ะ
Facebook Canvas Ad (โฆษณาแบบเต็มหน้าจอ )
Facebook Canvas Ad เป็นโฆษณาแบบเต็มหน้าจอ ที่สามารถผสมรูปแบบของคอนเทนต์ไว้ในโฆษณาเดียวได้ ทั้งข้อความ ภาพนิ่ง วิดีโอ
Facebook Lead Ad (โฆษณาเพื่อเก็บข้อมูลที่สนใจ)
Facebook Lead Ad เป็นโฆษณารูปแบบที่ทำขึ้นเพื่อจุดประสงค์ในการเก็บข้อมูลของผู้ที่สนใจ มักอยู่ในรูปของการลงทะเบียนเพื่อแลกรับบางสิ่งบางอย่าง เช่น สินค้าทดลอง คู่มือความรู้ เครื่องมือต่างๆ เป็นต้น
Facebook Image Ad (โฆษณาแบบรูปภาพเดี่ยว )
หลังจากเห็นรูปแบบโฆษณาคร่าวๆกันไปแล้ว เรามาเริ่มเข้าสู่ตัวอย่างโฆษณารูปแบบแรกกันเลยค่ะ
Facebook Video Ad : โฆษณารูปแบบวิดีโอ
ตัวอย่างที่ 1 : Airbnb
มีเทคนิคอะไรบ้าง…ที่ทำให้โฆษณาวิดีโอตัวนี้ประสบความสำเร็จ?
-
สั้น กระชับ แต่ยังดึงดูดใจ
ในยุคที่ความสนใจของผู้คนลดลงเหลือประมาณแปดวินาที เนื้อหาที่สั้นกว่ามักจะชนะเสมอ วิดีโอโฆษณาบน Facebook แบบสั้นๆอย่างในตัวอย่างที่มีความยาวเพียงหกวินาที จะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าวิดิโอโฆษณายาวๆ ซึ่ง Airbnb เลือกที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และนำมาแก้ไขโฆษณาให้มีความยาววิดีโอเพียงสั้นๆตามตัวอย่าง เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ชม ที่มีพฤติกรรมชอบเลื่อนดูฟีดอย่างรวดเร็วเอาไว้ได้
-
นำเสนอข้อความที่ชัดเจนได้ในเวลาสั้นๆ
ในตัวอย่างโฆษณา เราไม่ต้องนั่งคิดหรือจินตนาการเองเลยว่า โฆษณานี้เกี่ยวข้องกับอะไร เพราะข้อความที่ชัดเจนถูกวางไว้ในหัวข้อ คำอธิบาย ของวิดีโอในตัวเรียบร้อยแล้ว เช่น Want to make extra cash? คุณต้องการมีเงินพิเศษเพิ่มใช่ไหมล่ะ? See how much your place could earn on Airbnb. งั้นมาดูกันเลยว่าสถานที่ของคุณจะทำเงินให้คุณได้เท่าไหร่บน Airbnb ซึ่งข้อความนี้ทำให้แม้แต่ผู้ดูที่เห็นผ่านๆ ก็ยังเข้าใจจุดประสงค์และเนื้อหาของคอนเทนต์อย่างชัดเจนได้
-
สร้างความรู้สึกเชื่อมโยงด้วยถ้อยคำที่เหมาะสม
คำโฆษณาในวิดีโอนี้ถือเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมในการดึงดูดผู้ชมให้สนใจ แทนที่พวกเขาจะใช้คำพูดว่า “สามารถดูราคาค่าเช่าโดยเฉลี่ยของบ้านคุณได้…” แต่กลับใช้คำในความหมายเชิงบวกต่อความสนใจว่า ที่พักของพวกเขานั้นสามารถสร้างรายได้เท่าใดแทน เป็นตรรกะที่ทำให้ผู้คนใส่ใจโฆษณามากขึ้น เพราะเนื้อหาโฆษณาเชื่อมโยงในทางที่ดีกับพวกเขา
-
มีการแทรกข้อมูลเกี่ยวกับที่ตั้งของเป้าหมายอย่างชาญฉลาด
ในข้อความด้านบนวิดีโอมีการระบุข้อความว่า “รับสูงสุดถึง $2,927 ต่อเดือนสำหรับที่พักในไมอามี่” นั่นก็คือโฆษณาวิดีโอมีการกำหนดเป้าหมายชัดเจนถึงผู้ใช้ในพื้นที่ไมอามี่ วิธีนี้ทำให้โฆษณามีประสิทธิภาพสูงที่จะดึงดูดกลุ่มคนเป้าหมายในพื้นที่นั้นๆ
-
มี CTA (Call to Action) ที่น่าสนใจ
มีการใช้คำว่า “Calculate” เป็น CTA ในตอนจบของวิดีโอ แทนคำทั่วๆไป เพื่อสื่อว่าพวกเขาเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้ลองคำนวณราคาค่าเช่าบ้านได้ ก่อนที่จะทำการให้เช่าค่ะ
สรุปสิ่งที่เราได้เรียนรู้ และนำไปปรับใช้ต่อได้คือ
- ทำให้โฆษณาวิดีโอของคุณให้สั้นเข้าไว้ (อย่างน้อยหกวินาทีหรือน้อยกว่า)
- ทำให้พวกเขารู้สึกเชื่อมโยงกับโฆษณาเราให้ได้
- เขียนข้อความโฆษณาให้ชัดเจน เห็นแล้วเข้าใจได้ทันที
- ใส่รายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่ตั้งของกลุ่มเป้าหมาย (ถ้าเจาะจงพื้นที่)
- ลองใส่ CTA แปลกใหม่ที่ไม่ซ้ำใครดูบ้าง
Facebook Carousel Ad : โฆษณาแบบภาพสไลด์
ตัวอย่างที่ 2 : Whole Foods
มีเทคนิคอะไรบ้าง…ที่ทำให้โฆษณารูปแบบ Carousel ตัวนี้ประสบความสำเร็จ?
-
มีการใช้โฆษณารูปแบบ Carousel อย่างสร้างสรรค์
ผู้ทำโฆษณา Facebook โดยส่วนใหญ่ มักจะวางรูปภาพสินค้าจำนวนมากไว้ในโฆษณารูปแบบนี้ แต่ไม่ใช่กับโฆษณาของ Whole Foods ที่สร้างความแตกต่าง โดยวางตำแหน่งสไลด์อย่างชาญฉลาดเพื่อให้ภาพสองภาพเชื่อมต่อกัน และพวกเขายังวางข้อความบนสไลด์ที่สองในตำแหน่งที่เราจะไม่สามารถเห็นได้ในทันที ถ้าไม่กดลูกศรเลื่อนเพื่อเปิดดูต่อ ซึ่งเป็นวิธีการที่ทำให้ผู้ใช้จำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับโฆษณาเพื่ออ่านค่ะ
-
แสดงให้ดู แทนการอธิบายให้ฟัง (สื่อสารด้วยภาพแทนตัวอักษร)
สังเกตว่าโฆษณานี้มีการใช้คำพูดน้อยมาก แต่ให้ภาพพูดและสื่อสารแทน โดยโฆษณาใช้ภาพของอาหารที่ทำจากฟักทองและส่วนผสมอื่นๆจาก Whole Foods นำเสนออกมาให้น่ารับประทาน โดย Whole Foods ไม่จำเป็นต้องเสียพื้นที่ในการบอกผู้บริโภคว่า “ฟักทองและวัตถุดิบจากซุปเปอร์มาร์เก็ตของพวกเขานั้นดีอย่างไร” แต่บอกเป็นนัยๆ ผ่านภาพถ่ายแทน
สรุปสิ่งที่เราได้เรียนรู้ และนำไปปรับใช้ต่อได้คือ
เมื่อสร้างโฆษณาแบบภาพสไลด์ (Carousel)
- เราสามารถพลิกแพลงสร้างสรรค์ในเรื่องของตำแหน่งภาพ (Layout) ได้
- สร้างเหตุผลหรือกิจกรรมบางอย่างให้ผู้รับชมอยากคลิกไปยังสไลด์ถัดไป
- หากต้องการแสดงภาพหรือวิดีโอในโฆษณา แนะนำให้ใช้ข้อความให้น้อยที่สุด และใช้ภาพที่มีคุณภาพที่ดี สื่อสารตรงประเด็นได้แทน
ตัวอย่างที่ 3 : Square
อะไรที่ทำให้ โฆษณารูปแบบ Carousel นี้ ประสบความสำเร็จ?
-
ให้ความสำคัญกับสินค้าที่นำเสนอ
สำหรับโฆษณานี้ Square ต้องการโปรโมทเครื่องอ่านการ์ด พวกเขาจึงวางส่วนที่อยากนำเสนอที่สุดไว้ด้านหน้า ตรงกลางของภาพ และใช้พื้นหลังสีฟ้าแบบเรียบๆไม่มีลวดลาย ตัดกับสินค้าที่จะนำเสนอ ช่วยส่งเสริมให้สินค้านั้นโดดเด่นขึ้น
-
ใช้โฆษณา Carousel ในการวางโครงสร้างการนำเสนอได้อย่างเป็นสัดส่วน
แต่ละสไลด์ของโฆษณา พวกเขาจะนำเสนอสินค้าของแบรนด์ที่แตกต่างกัน พร้อมกับแสดงการใช้งานที่ต่างกัน การนำเสนอรูปแบบนี้ ทำให้ผู้ชมโฆษณาได้เห็นสินค้าแต่ละอย่างชัดเจนและเป็นระเบียบ ในขณะที่ยังนำเสนอฟังก์ชันการใช้งานสินค้าแต่ละชิ้นได้เต็มรูปแบบด้วย
-
ใช้การยื่นข้อเสนอพิเศษให้รู้สึกสนใจ
แน่นอนว่าเราทุกคนชอบของฟรี Square จึงใช้ประโยชน์ตรงนี้ เขียนคำบรรยายภาพในสไลด์แรกว่า “Get Your Free Square Reader” นั่นทำให้ แม้แต่ผู้บริโภคที่เห็นผ่านตาก็มีแนวโน้มที่จะคลิกไปที่หน้า Landing Page เพื่อตรวจสอบว่าเครื่องอ่านการ์ดของพวกเขานั้น “ฟรี” จริงหรือไม่
-
แสดงประโยชน์ของสินค้าออกมาอย่างชัดเจน
ข้อความด้านบนของโฆษณา จะเห็นว่าพวกเขาดึงใจผู้อ่านด้วยประโยชน์ของสินค้าในถ้อยคำที่เรียบง่าย แต่ชัดเจน “Clear pricing, fast deposits, no surprises.” การระบุคุณค่าที่แตกต่างของสินค้าเข้าไป สามารถช่วยกระตุ้นให้ผู้ชมอยากจะเรียนรู้สินค้าเพิ่มเติมได้
สรุปสิ่งที่เราได้เรียนรู้ และนำไปปรับใช้ต่อได้คือ
- หากวัตถุประสงค์ของเราคือ Conversion ให้เรามุ่งเน้นความสำคัญไปที่สินค้าและคุณค่าที่โดดเด่นเป็นประโยชน์กับผู้บริโภค ใส่ลงไปในภาพและข้อความโฆษณา
- การใช้โฆษณารูปแบบ Carousel เพื่อเน้นคุณสมบัติ และประโยชน์ต่างๆ ของสินค้า เป็นวิธีการหนึ่งที่มีประสิทธิภาพ นำไปปรับใช้ได้
Facebook Instant Experience/Canvas Ad : โฆษณาแบบ Canvas หรือ Instant Experience
* ตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2018 โฆษณาบน Facebook แบบ Canvas ได้รับการเปลี่ยนโฉมใหม่เป็น “Facebook Instant Experiences” อย่างเป็นทางการ ซึ่งเพิ่มเติมฟังก์ชันให้มีความหลากหลายมากขึ้น
ตัวอย่างที่ 4 : American Express
มีเทคนิคอะไรบ้าง…ที่ทำให้โฆษณานี้ประสบความสำเร็จ?
-
ใช้ประโยชน์จากรูปแบบของโฆษณา พาผู้ชมให้รู้สึกว่าได้เดินทางไปพร้อมกับเราด้วย
Facebook Instant Experiences เป็นสื่อที่ยอดเยี่ยมมากๆสำหรับการเล่าเรื่อง ซึ่งโฆษณานี้ถือว่าใช้ประโยชน์จากส่วนนี้ได้ดี จากวิดีโอจะเห็นว่า ทางแบรนด์ใช้การเล่าเรื่องเพื่อสื่อถึงการเดินทางในที่ต่างๆ ไปพร้อมกับแทรกประโยชน์ของสินค้าคือ บัตรเครดิต ว่าสามารถใช้ได้ในทุกๆการเดินทางที่แตกต่างในชีวิตจริงได้
-
ทำให้ธุรกิจที่ดูจริงจัง น่าเบื่อ อย่างการเงิน ดูมีชีวิตขึ้นมาได้ด้วยรูปภาพและการเล่าเรื่อง
ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับแบรนด์ที่ให้บริการทางด้านการเงิน ที่จะสามารถทำให้คนตื่นเต้นไปกับสินค้าได้
ซึ่งโฆษณานี้แตกต่างตรงที่ใช้การรวบรวมภาพสวยๆ เข้ากับข้อความโฆษณาที่มุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์ดีๆจากบัตรเครดิต
โดยกุญแจสำคัญของการทำโฆษณานี้คือ พวกเขาไม่ได้มุ่งเน้นให้สินค้าเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจโดยตรง แต่เน้นเล่าเรื่องที่สัมพันธ์กับผู้คน แล้วแทรกด้วยประโยชน์ของสินค้าที่จะให้กับลูกค้าแทน
- นำเสนอได้เหมาะสมกับแบรนด์
American Express เป็นบริษัทบัตรเครดิตขนาดใหญ่ ซึ่งมีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือและมีความเป็นมืออาชีพ ด้วยความต้องการลักษณะนี้ ทำให้โฆษณาที่ออกมามีโทนของสีและรูปแบบที่เอื้อให้ผู้ชมรู้สึกแบบนั้นด้วย
นำเรื่องเข้าสู่ CTA ได้อย่างลื่นไหล โฆษณานี้สามารถใช้ประโยชน์จากการบรรยายที่เพิ่งนำเสนอเกี่ยวกับการเดินทางที่น่าสนุกและตื่นเต้น เพื่อดึงผู้ชมให้รู้สึกว่าอยากจะใช้สินค้าคือ บัตรเครดิต เพื่อเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่บ้าง โดยการนำเสนอนี้เชื่อมต่อกับคำโฆษณาในตอนท้ายว่า “Get. Set. Go.” เพื่อนำไปสู่ปุ่ม CTA ที่ว่า “Apply Now” ได้อย่างลื่นไหล
สรุปสิ่งที่เราได้เรียนรู้ และนำไปปรับใช้ต่อได้คือ
- ใช้ภาพและคำโฆษณาที่ดึงดูดใจ เพื่อให้ผู้บริโภคเห็นแบรนด์ของคุณ
- ใส่ CTA ในสไลด์สุดท้าย ด้วยข้อความโฆษณาที่น่าสนใจ
- หากคุณอยู่ในอุตสาหกรรมที่น่าสนใจได้ยาก อย่างธุรกิจการเงิน ให้คุณมุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์หรือไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย ที่สินค้าของคุณจะเข้าไปช่วยสนับสนุนได้
- ขั้นสุดท้ายคือวางแผนเรื่องราวการโฆษณา ให้สามารถเล่าเรื่อง และสร้างประสบการณ์การที่เชื่อมโยงลูกค้าให้เดินทางไปพร้อมๆกับเราได้
Facebook Lead Ad : โฆษณาเพื่อเก็บข้อมูลที่สนใจ (Lead)
ตัวอย่างที่ 5 : Facebook Blueprint
มีเทคนิคอะไรบ้าง…ที่ทำให้โฆษณาเพื่อเพิ่ม Lead ชิ้นนี้ประสบความสำเร็จ?
-
เสนอประโยชน์ที่จะได้รับอย่างชัดเจน
หากสังเกตดีๆจะเห็นว่า โฆษณาชิ้นนี้ Facebook ได้ยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจออกมาอย่างชัดเจนเลยว่า หากคุณลงทะเบียนตอนนี้! จะได้เรียนรู้วิธีเพิ่มจำนวนลูกค้าให้เข้ามาดูแคตตาล็อกสินค้ามากขึ้นได้ เป็นการบอกประโยชน์ที่จะได้จากการลงทะเบียนอย่างชัดเจนค่ะ
-
รู้กลุ่มเป้าหมายของตนเองเป็นอย่างดี
เนื่องจากพวกเขารู้จักกลุ่มเป้าหมายของตนเองเป็นอย่างดี ทำให้รู้ว่าโฆษณาชิ้นนี้ดึงดูดนักการตลาดดิจิทัลโดยตรงอยู่แล้ว ทาง Facebook จึงออกแบบให้ใช้รูปภาพประกอบที่ดึงดูดความสนใจของวัยหนุ่มสาว และกลุ่มคนมืออาชีพที่มีความอินเทรนด์ร่วมด้วย ทำให้โฆษณาน่าสนใจยิ่งขึ้นกว่าการกำหนดเป้าหมายไปที่ผู้ชมที่คล้ายๆกันหมด
-
เขียนข้อความโฆษณาเรียบง่าย แต่ชัดเจน
ผู้คนส่วนใหญ่มักจะไม่ให้ข้อมูลติดต่อของตนเอง นอกเสียจากว่าจะมีการให้เหตุผลที่ชัดเจน ซึ่ง Facebook เข้าใจในส่วนนี้ และใส่ลงไปในโฆษณาให้ผู้ชมที่แม้จะอ่านโฆษณาผ่านๆ แค่เพียงสองสามวินาที ก็ยังเข้าใจสิ่งที่โฆษณานี้นำเสนอ
-
ไม่ทำให้รู้สึกว่าเป็นแบบฟอร์มยุ่งยากมากจนเกินไป
แบบฟอร์มนี้มีเพียง 4 ช่องสั้นๆที่เราสามารถกรอกเสร็จทั้งหมดได้ในเวลาแค่ประมาณ 60 วินาที ซึ่งนั่นทำให้ผู้กรอกข้อมูล ไม่รู้สึกว่าเป็นแบบฟอร์มจริงจังจนเกินไป
สรุปสิ่งที่เราได้เรียนรู้ และนำไปปรับใช้ต่อได้คือ
ถ้าต้องการทำโฆษณาในรูปแบบนี้เพื่อเก็บข้อมูลผู้ที่มีความสนใจ (Lead) จะต้อง
- พยายามรักษาแบบฟอร์มให้สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ยังคงได้รับข้อมูลที่จำเป็นอยู่
- ทำให้ชัดเจนว่าผู้คนให้ข้อมูลกับคุณไปเพื่ออะไร และทำให้ชัดเจนว่าข้อมูลนั้นเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาอย่างไร
- สุดท้ายตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายของโฆษณาได้ถูกต้องหรือไม่ เพื่อให้ข้อเสนอของเราเกี่ยวข้อง ตรงกับความต้องการ
ตัวอย่างที่ 6 : Sleeknote
มีเทคนิคอะไรบ้าง…ที่ทำให้โฆษณาเพิ่ม Lead ชิ้นนี้ประสบความสำเร็จ?
-
ไม่ทำให้รู้สึกว่าเป็นการโฆษณาจนเกินไป
ตัวอย่างโฆษณาของ Sleeknote นี้ ดูผิวเผินอาจจะทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังอ่านโพสต์ทั่วไปๆ ด้วยเพราะพวกเขาใช้ข้อความที่มีน้ำเสียงไม่ทางการจนเกินไป ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังอ่านบทความจากเพื่อนในอุตสาหกรรมเดียวกันที่เป็นมิตร
-
เปิดหัวเรื่องด้วยสถิติที่น่าสนใจ
แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่มักไม่เชื่อในคำโฆษณา แต่มักจะเชื่อในสถิติที่มีความชัดเจน ข้อความเริ่มต้นที่ Sleeknoteใช้ จึงเอ่ยถึงข้อมูลสถิติการเข้าชมแบบออร์แกนิคของพวกเขาเองขึ้นก่อน ว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นมาเป็น 412% เลยนะ พร้อมกับบอกว่าใครๆก็ทำได้ ถ้ามีเครื่องมือที่พวกเขานำเสนอนี้ เป็นการดึงความสนใจได้ดีเยี่ยมเลยค่ะ
-
เข้าใจความต้องการของกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี
กลุ่มเป้าหมายของทาง Sleeknote คือนักการตลาด ซึ่งพวกเขาเข้าใจเป็นอย่างดีเลยว่า นักการตลาดนั้นชอบอะไร ต้องการอะไร ทำให้ Sleeknote เขียนข้อความโฆษณาได้ออกมาเกี่ยวข้องโดยตรง นั่นก็คือเรื่องของการเพิ่มทราฟฟิกที่รวดเร็ว และเพิ่มปริมาณ Conversion โดยพวกเขาดึงดูดด้วยเคล็ดลับจากประสบการณ์ของตนเองที่มาจากการลองผิดลองถูก เพิ่มความน่าสนใจต่อกลุ่มเป้าหมายได้อย่างดี
-
ทำให้ผู้ชมเกิดความอยากรู้
การใช้รูปกราฟในโฆษณา ทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงข้อมูลเชิงลึก เห็นแล้วเกิดความคาดหวังว่าจะพบข้อมูลแบบละเอียดได้ในเครื่องมือที่จะนำเสนอ เกิดความอยากรู้อยากเห็นต่อบริบทของกราฟ และข้อมูลที่มีค่าอื่นๆ ที่อาจจะมีอยู่ในเนื้อหาจากการดาวน์โหลดนี้
สรุปสิ่งที่เราได้เรียนรู้ และนำไปปรับใช้ต่อได้คือ
หากคุณกำลังทำการตลาดแบบ B2B
- ให้ปฏิบัติต่อกลุ่มเป้าหมายของคุณเหมือนเพื่อน
- ลองรวบรวมสถิติ ถ้อยคำจากลูกค้า และใส่น้ำเสียงการสนทนาลงไปในโฆษณาดูบ้าง
- มุ่งเน้นไปที่ความท้าทายทางธุรกิจที่กลุ่มเป้าหมายอาจจะกำลังเผชิญอยู่
- รักษารูปแบบฟอร์มการกรอกข้อมูลให้สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่เราก็ยังได้ข้อมูลสำคัญที่ต้องการด้วย
Facebook Image Ad Examples
ตัวอย่างที่ 7 : Adobe Stock
มีเทคนิคอะไรบ้าง…ที่ทำให้โฆษณาแบบภาพเดี่ยวชิ้นนี้ประสบความสำเร็จ?
-
ใช้จุดเด่นของแบรนด์ บ่งบอกคุณค่าที่ผู้ชมจะได้รับ
จะมีอะไรเป็นสื่อในการโปรโมทคลังภาพของ Adobe ได้ดีไปกว่าโฆษณาแบบรูปภาพอีกแล้วล่ะค่ะ แทนที่พวกเขาจะใส่ข้อความโฆษณา อธิบายลงไปเยอะๆ ตรงกันข้ามกลับใช้รูปคุณภาพดีแค่เพียงรูปเดียว สะกดคนดูให้รู้สึกว่า ถ้าเข้าไปแล้วเราจะได้รับรูปภาพสวยงาม คุณภาพดีๆแบบนี้ได้ในแพลตฟอร์มของพวกเขา โดยไม่ต้องใช้คำพูดมากมายเลย
-
ฉลาดในการใช้ฟิลเตอร์เพื่อสร้างความโดดเด่น
ฟิลเตอร์ที่ใช้แต่งภาพพื้นหลังในโฆษณานี้ ไม่ได้ทำเพื่อแค่เพียงความสวยงามของรูปภาพเท่านั้น แต่ยังทำเพื่อให้โลโก้ของแบรนด์คือ “St” นี้โดดเด่นออกมาเข้าตาผู้ที่พบเห็นด้วย
-
จะโปรโมทของพรีเมียม รูปภาพที่ใช้ต้องพรีเมียมตามไปด้วย
ด้วย Adobe กำลังโปรโมทคอลเลกชันใหม่ของรูปภาพแบบพรีเมียม นั่นทำให้พวกเขาจำเป็นต้องแสดงให้เห็นถึงคุณภาพของสินค้าในโฆษณานี้ด้วย ซึ่งพวกเขาทำได้ดีในการเลือกหยิบรูปภาพที่สามารถสะท้อนถึงคุณภาพแบบมืออาชีพออกมาได้
สรุปสิ่งที่เราได้เรียนรู้ และนำไปปรับใช้ต่อได้คือ
- รูปภาพที่ดีเพียงรูปเดียว สามารถใช้แทนคำโฆษณาหลายพันคำได้
- ถ้าคุณต้องการสร้าง Brand Awareness ด้วยโฆษณาประเภทรูปภาพ อย่าลืมใส่โลโก้ หรือชื่อแบรนด์ไว้ในจุดที่โดดเด่นด้วย
- ถ้าต้องการโปรโมทสินค้าที่มีความพรีเมียม คุณต้องแน่ใจด้วยว่า รูปภาพที่ใช้ต้องคุณภาพดี คมชัดด้วย
และนี่คือตัวอย่างโฆษณาดีๆ ในแต่ละรูปแบบบน Facebook ซึ่งส่วนสุดท้ายของบทความนี้ผู้เขียนขอสรุปหลักคร่าวๆของการทำโฆษณาให้คนอยากคลิกออกมาดังต่อไปนี้คือ
- จะต้องสั้น กระชับ
- รูปภาพ หรือวิดีโอจะต้องดึงดูดใจตั้งแต่แรกเห็น
- ข้อความโฆษณาจะต้องชัดเจน เห็นแล้วรู้ทันทีว่าสื่อสารเกี่ยวกับอะไร
- ข้อความโฆษณาจะต้องแทรกประโยชน์ที่ผู้ชมจะได้รับ ไม่ว่าจะกล่าวแบบตรง หรือแบบอ้อมๆก็ตาม
- โฆษณาจะต้องเชื่อมโยง สัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย
เสริมความรู้
สรุป
จากเนื้อหา ใจความทั้งหมดที่กล่าวมาหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านทุกคน ให้สามารถนำเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้กับโฆษณาของตนเองได้อย่างเหมาะสมนะคะ
อ้างอิง
https://www.falcon.io