SEM = SEO ความเข้าใจที่ต้องปรับใหม่สำหรับ ‘การทำการตลาดออนไลน์’ บนช่องทางของ Search Engine
ความเข้าใจโดยทั่วไป
โดยปกติแล้วในความเข้าใจทั่วไป เมื่อมีการพูดถึง SEM หรือ Search Engine Marketing จะหมายถึงการทำการตลาดบนพื้นที่ของ Search Engine ที่รวมทั้งในรูปแบบที่ต้องเสียเงินค่าโฆษณา (Paid Search Traffic) และไม่เสียเงินค่าโฆษณา(SEO, Organic Search Traffic) เข้าไว้ด้วยกัน
ความเข้าใจในสายงาน Search Marketing
แต่ในสายงานของผู้เชียวชาญการทำการตลาดออนไลน์ผ่าน Search Engine ทั้ง SEO Specialist และ SEM Specialist ต่างมีคำนิยามที่ตรงกันว่า SEO คือการทำการตลาดบน Search Engine แบบไม่มีค่าใช้จ่ายในการโฆษณา และ SEM คือการทำการตลาดบน Search Engine แบบมีค่าใช้จ่ายในการโฆษณา
หมายเหตุ: ‘ค่าใช้จ่ายในการโฆษณา’ ในบริบทนี้หมายถึง ค่าใช้จ่ายที่จ่ายให้กับ Search Engine เพื่อให้เว็บไซต์ของเราไปปรากฏอยู่บนผลการค้นหาของ Search Engine ซึ่งอย่างที่ได้กล่าวไป ถ้าเป็นพื้นที่ของ SEO ก็จะไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ แต่ถ้าเป็นพื้นที่ของ SEM ก็จะมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เสริมเข้ามา
รูปภาพพื้นที่ของ SEO และ SEM บนผลการค้นหาของ Google
การทำการตลาดออนไลน์ผ่าน Search Engine ที่รวมพื้นที่ของ SEO และ SEM เข้าไว้ด้วยกันจะเรียกว่า Search Marketing
(ที่มาที่ไปว่าทำไมปัจุบันนี้ Paid Seach Traffic = SEM สามารถอ่านบทความต่างประเทศด้านล่างนี้ได้เลยครับ
https://searchengineland.com/does-sem-seo-cpc-still-add-up-37297)
SEO(Search Engine Optimization)
ผู้รับผิดชอบทางด้าน SEO จะมีหน้าที่ในการปรับปรุงเว็บไซต์เพื่อให้ Search Engine เข้าใจเว็บไซต์ของเราได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเก็บข้อมูลเว็บไซต์(crawling) ทำดัชนีเว็บไซต์ของเรา(indexing) และจัดอันดับเว็บไซต์(ranking) ซึ่งกระบวนการเหล่านี้เป็นกระบวนการของ Search Engine ในการนำคำตอบที่ดีที่สุดมอบให้แก่ผู้ค้นหา(searcher)
เว็บไซต์เองก็จะได้ทราฟฟิคแบบไม่เสียเงินค่าโฆษณาหรือ Organic Traffic เข้ามาจากทาง Search Engine ซึ่ง Organic Traffic ก็ได้มาจากการทำ SEO นั้นเอง
SEM(Search Engine Marketing)
จะมีหน้าที่ในการลงโฆษณา(แบบมีค่าใช้จ่าย) บนแพลตฟอร์มของ Search Engine เพื่อที่เว็บไซต์ของตนจะได้ไปปรากฏอยู่บนผลการค้นหาในทันที เมื่อมีการค้นหาผ่าน Search Engine ซึ่งในพื้นที่ของ SEM ก็จะมีคำศัพท์เพิ่มเติมที่สามารถใช้เรียกแทน SEM ได้ นั้นคือ PPC หรือ Pay-per-click ซึ่งเป็นรูปแบบการคิดโฆษณาพื้นฐานของ Search Engine ที่จะคิดค่าใช้จ่ายกับผู้ลงโฆษณา เมื่อมีการคลิก Ads โฆษณาบน Search Engine
SEM vs SEO ต่างกันอยางไร
SEM
– ข้อดี: สามารถขึ้นไปอยู่อันดับต้น ๆ บน Search Engine ได้ในทันที ด้วย ‘คีย์เวิร์ด’ ที่ต้องการ
– ข้อเสีย: เมื่อเงินหมด ทราฟฟิคจาก SEM ก็หมดตาม
SEO
– ข้อดี: เมื่อเว็บไซต์สามารถไปปรากฏบนผลการค้นหาในหน้าแรก ๆ ของ Search Engine ได้ จะมีทราฟฟิคไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่เสียเงินค่าโฆษณา
– ข้อเสีย: ใช้เวลานานในการทำ SEO, ไม่การันตีผลลัพธ์ และต้องมีการทำ SEO อย่างต่อเนื่อง
เมื่อใดที่ควรใช้ SEO และเมื่อใดที่ควรใช้ SEM
การทำการตลาดออนไลน์’ ในช่องทาง Search Engine ควรมีการทำ SEO และ SEM ควบคู่กันไป สาเหตุเนื่องจาก หลาย ๆ ช่องทางจะทำงานสอดประสานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพทั้ง Paid Search และ Organic Search (รวมถึงช่องทางการตลาดอื่น ๆ อย่าง Social Media)
ถ้าเราละเลยไม่ทำการตลาดในช่องทางใดช่องทางหนึ่งอย่างมีประสิทธิภาพ ก็เป็นได้ว่าคู่แข่งของเราจะมีความสามารถ(potential) ในการเข้าถึงลูกค้าได้มากกว่าเรา หรือเมื่อยามใดที่ช่องทางใดช่องทางหนึ่งมีการเปลี่ยนแปลง จนมีผลให้ช่องทางนั้นมียอดขายที่ลดลง หรือค่าใช้จ่ายในการขาย(Cost Per Converion) เพิ่มขึ้น ก็ยังมีช่องทางอื่น ๆ มาช่วยค้ำจุนไว้ ให้ธุรกิจของเราก้าวเดินต่อไปได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง
กล่าวโดยสรุป
หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์ และทำให้ผู้อ่านได้เข้าใจในช่องทางของ SEM และ SEO มากขึ้นนะครับ Search Marketing ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไปที่คน ๆ หนึ่ง หรือบริษัทหนึ่ง ๆ จะมุ่งไป เพื่อเป็นจิ๊กซอว์ที่สำคัญให้การทำการตลาดออนไลน์ Digital Marketing จนประสบความสำเร็จต่อไป
ข้อมูลเพิ่มเติม สัดส่วน Search Engine ในประเทศไทย
ข้อมูลล่าสุดจาก Statcounter.com เว็บไซต์ Google Search มีสัดส่วนมาร์เก็ตแชร์ในประเทศไทยถึง 99% ซึ่ง SEM ในฝั่งของ Google ก็คือ Google Ads(ชื่อเดิมคือ Google AdWords)
สัดส่วนการใช้งาน Search Engine ต่าง ๆ ในประเทศไทยในเดือน สิงหาคม 2561
Writer: Thorn Phuttitorn
Editor: Pol Wanchana