สิทธิส่วนบุคคล และข้อมูลส่วนตัวของผู้บริโภค เป็นสิ่งที่ธุรกิจ นักการตลาด หรือผู้ประกอบการ จะต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ โดยเฉพาะกับการสร้างธุรกิจออนไลน์ ในยุคดิจิทัล ที่จะต้องมีการเข้าถึงข้อมูลของลูกค้าและแน่นอนว่า ข้อมูลของลูกค้าที่ได้มานั้น ต้องเกิดจากความยินยอมของตัวลูกค้าเอง ไม่ก้าวก่ายสิทธิส่วนบุคคล หรือทำให้ข้อมูลรั่วไหล
ในช่วง 2-3 ที่ผ่านมานี้ เราอาจเคยได้ยินข่าวการรั่วไหลของข้อมูลจากผู้ใช้งานออนไลน์กันมาบ้าง เช่น ในปี 2019 Facebook ออกมายอมรับว่า Database หรือ ข้อมูลของผู้ใช้งานรั่วไหลออกไปประมาณ 419 ล้านคน (ที่มา: Forbes, 2019) และในปี 2020 ข้อมูลการจองโรงแรมของลูกค้ากว่า 10 ล้านรายที่ผ่านเซิร์ฟเวอร์ Amazon Web Services (AWS) รั่วไหลออกไป ทำให้ลูกค้าตกอยู่ในความเสี่ยง (ที่มา: Lifehacker)
ปัญหาต่าง ๆ ที่ได้กล่าวไปข้างต้น เป็นเหตุผลที่ผู้ใช้งานออนไลน์ทุกคนจะต้องได้รับความคุ้มครอง และได้รับการปกป้องข้อมูลให้ปลอดภัย มีสิทธิที่จะให้ความยินยอม หรือไม่ก็ได้ตามความสมัครใจของคนนั้น ๆ ซึ่งในวันนี้เราจะไปทำความรู้จักกับ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA เพื่อให้ผู้ที่ทำธุกิจ E-Commerce เกิดความเข้าใจและเตรียมพร้อมธุรกิจให้เป็นไปตามสากล และสอดคล้องตามข้อกำหนดทางกฎหมายกันค่ะ
PDPA คืออะไร
PDPA ( Personal Data Protection Act ) คือ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยพ.ร.บ. นี้มีเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้ปลอดภัย ไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิ และมีผลบังคับใช้ในภาคธุรกิจในวันที่ 1 มิถุนยน 2564 ซึ่ง PDPA มีผลบังคับใช้กับบุคคลธรรมดาทั่วไป และนิติบุคคลที่อยู่ในประเทศไทยด้วย
หากในกรณีที่ข้อมูลเกิดการรั่วไหล เปิดเผย หรือเกิดการถ่ายโอนข้อมูลขึ้น ผู้ที่ละเมิดสิทธิจะต้องเกิดได้รับบทลงโทษทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และโทษปรับที่หนักหน่วง 5 ล้านบาท หรือจำคุกสูงสุด 1 ปี และยังต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทน ตามความเหมาะสมในแต่ละกรณีนั้น ๆ
สำหรับในประเทศไทย กฏหมาย PDPA มีต้นแบบมาจากกฎหมายคุ้มครองสิทธิส่วนบบุคลของสหภาพยุโรป (EU) ที่มีชื่อว่า General Data Protection Regulation หรือ GDPR ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้เพื่อปกป้องพลเมืองในสหภาพยุโรปจากการถูกละเมิดข้อมูลส่วนตัว และเศรษฐกิจในยุโรป นอกจากนี้ ยังออกกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคทางด้านการถ่ายโอนข้อมูลนอกเขต EU และ EEA หรือ พลเมืองของเขตเศรษฐกิจยุโรป (EEA) รวมทั้งการทำธุรกิจ E-Commerce การตลาดดิจิทัล การทำโฆษณา และการใช้อินเทอร์เน็ตทั่วไป
GDPR กับ PDPA ต่างกันอย่างไร
PDPA เป็น พ.ร.บ. ที่ถูกบัญญัติขึ้นเพื่อคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลในด้านสิทธิ และความปลอดภัยของข้อมูล หากข้อมูลมีการรั่วไหล ถูกถ่ายโอน ถูกดัดแปลง หรือไม่ได้รับความยินยอมจากดเจ้าของข้อมูล ผู้เสียหายสามารถร้องเรียนเพื่อเอาผิดได้ นอกจากนี้ผู้เสียหายยังสามารถร้องเรียนได้ในกรณีที่ ข้อมูลส่วนบุคคลถูกนำไปใช้โดยพลการ หรือนำไปใช้ในทางที่ผิดจากจุดประสงค์ที่ตกลงร่วมกันไว้ก่อนหน้า ซึ่งหากผู้ที่ละเมิดสิทธิข้อมูล เป็นนิติบุคคล ผู้ที่รับผิดชอบการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น ๆ ก็จะต้องรับผิดชอบร่วมกันด้วย ซึ่งบทลงโทษและค่าปรับนั้นขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของแต่ละกรณี โดย PDPA มีผลบังคับใช้ในประเทศไทยในวันที่ 1 มิถุนายน 2564
(ตัวอย่าง นิติบุคคล: บริษัท สมาคม มูลนิธิ หน่วยงานรัฐ และเอกชน)
PDPA จะมีผลบังคับใช้ได้ทั้งกับองค์กรทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เจรจาการค้าหรือทำธุรกิจในประเทศไทย
GDPR เป็นกฎหมายที่ใช้คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและป้องกันการถูกละเมิดสิทธิทางด้านข้อมูล โดยเจ้าของข้อมูลจะได้รับแจ้งเรื่องเมื่อเกิดความเสียหายจาก GDPR และได้สิทธิที่จะรับรู้ และสามารถขอเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของตัวเองได้ ในกรณีที่ผู้เสียหายต้องการลบข้อมูล ก็สามารถแจ้งคำร้องเพื่อลบข้อมูลได้เช่นกัน ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2561
นอกจากนี้ Privacy Policy ในกฎหมาย GDPR สามารถขอคัดค้านการตัดสินใจแทนแบบอัตโนมัต แต่ใน PDPA ยังไม่ได้มีการระบุในส่วนนี้
GDPR มีผลบังคับใช้กับองค์กรใด ๆ ก็ตามทั้งในและภายนอกสหภาพยุโรปที่เจรจาการค้า หรือทำธุรกิจกับบุคคลในสหภาพยุโรป
ประเภทข้อมูลที่ PDPA ให้ความคุ้มครองแก่บุคคล
มีทั้งแบบทางตรงและทางอ้อม ได้แก่
1 ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป ที่สามารถนำไปใช้ยืนยันตัวบุคลลนั้น ๆ เช่น
- ชื่อจริง นามสกุล
- ที่อยู่
- หมายเลขโทรศัพท์
- หมายเลขบัตรประชาชน
- รูปถ่ายของบุคลลนั้น ๆ
- อายุ
- ประวัติการศึกษา
- ประวัติการทำงาน
2 ข้อมูลส่วนตัวที่มีความละเอียดอ่อน (Sensitive Personal Data) เช่น
- เชื้อชาติ
- สัญชาติ
- พฤติกรรมทางเพศ
- ข้อมูลด้านสุขภาพ
- ประวัติอาชญากรรม
- ความเชื่อทางศาสนา
- ความคิดเห็นทางด้านการเมือง
- ข้อมูลอื่น ๆ ที่มีผลกระทบต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
ขั้นตอนสำคัญที่ธุรกิจควรดำเนินการ
- มีความรู้พื้นฐานทางกฎหมาย และได้รับความยินยอมจากบุคคลที่เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
- ธุรกิจ หรือองค์กรจะต้องโปร่งใส ต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบเมื่อมีการรวบรวมข้อมูลสำหรับแต่ละบุคคล
- มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่รัดกุม ตรงตามมาตรฐานสากล เพื่อปกป้องข้อมูลของบุคคลไม่ให้ถูกถ่ายโอน รั่วไหล หรือนำไปใช้ในทางที่ผิด
- จะต้องแจ้ง ข้อมูล หรือนโยบายเกี่ยวกับระยะเวลาข้อมูลส่วนบุคคลจะถูกจัดเก็บไว้
- มีการจัดเก็บข้อมูลที่เป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อแสดงว่ามีการปฏิบัติตามข้อกำหนด PDPA
สิ่งที่ธุรกิจต้องเตรียมให้พร้อม เพื่อตอบรับกับข้อกำหนดของ PDPA
1. เตรียมเอกสารเพื่อบันทึกกิจกรรมการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Record of Processing หรือ ROP)
เป็นเอกสารที่ใช้บันทึกรายละเอียดการจัดเก็บข้อมูล มีวัตุประสงค์เพื่ออะไร และมีใครที่เกี่ยวข้องบ้าง
2. เตรียมแบบฟอร์มเพื่อให้เจ้าของข้อมูลขอใช้สิทธิบนเว็บไซต์
เพื่อให้เจ้าของข้อมูล สามารถขอสิทธิการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวได้ ในช่องทางใด ๆ ก็ตาม และต้องมีการดำเนินการตามคำร้องภายใน 30 วัน
3. แจ้งเจ้าของข้อมูลเกี่ยวกับ นโยบายความเป็นส่วนตัว หรือ Privacy Policy
เพื่อให้เจ้าของข้อมูลทราบว่า ข้อมูลที่จะนำไปใช้มีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร มีเงื่อนไขอะไรบ้าง รวมถึงระยะเวลาในการจัดเก็บข้อมูล
4. การขอคำยินยอมในการใช้ Cookie
ธุรกิจ หรือแต่ละเว็บไซต์จะต้องมีการแจ้งเตือนผ่านแบนเนอร์ (Cookie Consent Banner) เพื่อขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลในการจัดเก็บข้อมูลของผู้ใช้งานออนไลน์ รวมถึงประเภทข้อมูลที่ถูกจับเก็บ
5. การแจ้งเตือนเจ้าของข้อมูลหากข้อมูลเกิดการรั่วไหล
ธุรกิจหรือองค์กรจะต้องแจ้งต่อเจ้าของข้อมูล และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หากเกิดกรณีที่ข้อมูลของลูกค้าเกิดการถ่ายโอน รั่วไหล หรือใช้ในทางที่ผิด ซึ่งจะต้องมีการประเมิณส่วนที่สายหาย และวิธีการเยียวยาเจ้าของข้อมูล
ประโยชน์ของ PDPA ที่มีต่อผู้ใช้งานออนไลน์ และเจ้าของข้อมูล
สำหรับผู้ที่เป็นเจ้าของข้อมูล ทุกคนมีสิทธิที่จะรับทราบว่า วัตถุประสงค์ของการให้ข้อมูลคืออะไร นำไปใช้ในด้านไหน และมีระยะเวลาเท่าไหร่ ก่อนการตัดสินใจยินยอมให้รายละเอียด ซึ่งไม่ว่านิติบุคคล หรือธุรกิจใด ๆ ก็ตาม จะต้องทำตามข้อกำหนดที่วางเอาไว้ตั้งแต่แรก และยินยอมลบข้อมูลต่าง ๆ เมื่อเจ้าของข้อมูลต้องการ โดยเจ้าของข้อมูลสามารถขอแจ้งสิทธิต่าง ๆ ได้ดังนี้
- สิทธิที่จะได้รับแจ้ง
- สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว
- สิทธิในการได้รับและโอนถ่ายข้อมูล
- สิทธิในการแก้ไข
- สิทธิในการจำกัด
- สิทธิคัดค้าน
- สิทธิในการลบข้อมูล
- สิทธิในการเพิกถอนคำยินยอม
บทลงโทษในกรณีที่เกิดการนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด หรือไม่เป็นตามข้อตกลง
- สำหรับโทษทางปกตรอง จะถูกปรับสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท
- สำหรับโทษทางอาญา จะถูกจำคุกสูงสุดไม่เกิน 1 ปี หรือถูกปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- กรณีรับผิดทางแพ่ง จะมีการประเมิณความเสียหายตามที่เกิดขึ้นจริง เป็นกรณีไป จะต้องมีการจ่ายเงินสินไหมทดแทน หรือเยียวยาวผู้เสียหายไม่เกิน 2 เท่าของความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง
ข้อมูลจาก:
https://sites.google.com
https://www.lexology.com