เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หลาย ๆ ธุรกิจคงรู้แล้วว่า Facebook ได้ทำการประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ชื่อว่า “Shops” ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่จะเปิดโอกาสให้ธุรกิจบนโลกออนไลน์มีช่องทางในการขายมากขึ้น โดยในปัจจุบันฟีเจอร์นี้มีการเปิดใช้แล้วในบางประเทศ ซึ่งเชื่อว่าอีกไม่นานประเทศไทยจะต้องได้ใช้กันแน่นอน
ดังนั้นเพื่อเตรียมตัวก่อนที่เราจะได้ใช้ฟีเจอร์นี้จริง ๆ เรามาดูกันดีกว่าครับว่าเพราะอะไรเราถึงต้องใช้ฟีเจอร์ใหม่ตัวนี้ ?
และจะมีวิธีเตรียมพร้อมยังไงบ้าง ?
ทำไมต้องขายสินค้าผ่าน “Shops”
ก่อนที่เราจะเข้าเรื่องของฟีเจอร์ “Shops” ผมอยากจะอธิบายข้อดีของการขายสินค้าบน Facebook กันก่อนครับ โดยหนึ่งจุดที่สำคัญที่ทำให้ Facebook เป็นช่องทางที่น่าสนใจ นั่นคือ เวลาที่ลูกค้าของเราจะใ้ช้อยู่บนแพล็ตฟอร์ม ซึ่งตามสถิติโดยเฉลี่ยแล้ว ในแต่ละวันผู้ใช้อินเตอร์เน็ตจะมีการใช้งาน Facebook ถึง 38 นาทีเลยทีเดียว เห็นอย่างนี้แล้วบอกได้เลยว่าการขายของบน Facebook เป็นช่องทางที่น่าสนใจ เพราะจะเป็นช่องทางที่ทำให้มีโอกาสได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นนั่นเอง
นอกจากนั้น ในส่วนของฟีเจอร์ใหม่อย่าง “Shops” ที่กำลังจะถูกเพิ่มขึ้นมาผมบอกได้เลยว่าน่าสนใจมาก ๆ ซึ่งฟีเจอร์ตัวนี้มีจุดเด่นอยู่ 5 อย่างด้วยกัน ที่จะกลายเป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับธุรกิจของเราได้ดังนี้ครับ
ข้อดีที่ 1 “Shops” เปลี่ยนหน้าเพจของธุรกิจให้กลายเป็นหน้าร้าน
ฟีเจอร์ “Shops” เป็นฟีเจอร์ที่ทำให้เราสามารถเพิ่มคอลเลคชันสินค้าไปยังหน้าเพจธุรกิจของเราได้ โดยจุดเด่นของมันคือ การที่ธุรกิจนั้น ๆ สามารถใส่สินค้าได้ไม่จำกัดจำนวน ซึ่งจะมีเพียงข้อจำกัดเดียวก็คือสินค้าที่โชว์อยู่บนหน้าเพจจะมีแค่เพียง 10 ชิ้นแรกเท่านั้น
ที่มา Facebook
ข้อดีที่ 2 LIVE Shopping ฟีเจอร์ที่จะยิ่งทำให้โปรโมทสินค้าได้มากขึ้น
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่สำคัญของ “Shops” ที่จะมีในอนาคตคือ LIVE Shopping ที่เปิดโอกาสให้ร้านค้าสามารถแท็กสินค้าชิ้นใดชิ้นหนึ่งที่อยู่ในคอลเลคชันให้เด้งเป็นหน้าต่าง Pop up ขึ้นมาระหว่าง LIVE ได้ ซึ่งลูกค้าสามารถกดซื้อสินค้าชิ้นนั้น ๆ ได้จากหน้า LIVE ณ เวลานั้นได้โดยทันที
ข้อดีที่ 3 สามารถดูข้อมูลเชิงลึกได้ผ่าน Insight
ฟีเจอร์ “Shops” สามารถเก็บข้อมูล และ พฤติกรรมในการซื้อของลูกค้าได้ โดยฟีเจอร์นี้จะมีข้อมูล Insight ที่เราสามารถดูได้ทั้ง จำนวนการเข้าชม หรือ จำนวนการสั่งซื้อ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ถ้าเราเลือกหยิบมาใช้ มาวิเคราะห์ให้ดี ๆ ละก็ มันจะกลายเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มาก ๆ ในการวางแผนการตลาด เพื่อเพิ่มยอดขายได้อย่างแน่นอน
ข้อดี 4 Loyalty Program เพื่อการรักษาสัมพันธ์กับลูกค้าได้ในระยะยาว
ด้วยระบบ Reward ที่อยู่ใน Loyalty Program ของฟีเจอร์ “Shops” จะทำให้ลูกค้าสามารถสะสมแต้มในการซื้อสินค้าของเราในแต่ละครั้งได้ผ่านบัญชี Facebook ของลูกค้า ซึ่งนับว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจที่จะเปลี่ยนให้ลูกค้าทั่วไปให้กลายมาเป็นลูกค้าประจำ ที่ถือว่าเป็นอีกเรื่องที่สำคัญในการทำธุรกิจ
ที่มา Facebook
ข้อดีที่ 5 ส่งข้อความถึงผู้ขายได้โดยตรง
ระหว่างใช้งานฟีเจอร์ “Shops” หากลูกค้าเกิดข้อสงสัย หรือ อยากปรึกษาอะไร เกี่ยวกับสินค้าชิ้นนั้น ๆ ลูกค้าสามารถส่งข้อความไปถามผู้ขายได้โดยตรง เพราะฟีเจอร์นี้จะลิงก์กับแอปพลิเเคชันแชทต่าง ๆ เช่น WhatsApp, Messenger และ Instagram Direct ให้ลูกค้าสามารถทักไปได้ทันที นอกจากนี้ยังสามารถออกออเดอร์ผ่านหน้าต่างแชทได้ด้วยเช่นกัน
5 ขั้นตอนเตรียมพร้อมก่อนใช้งาน “Shops”
ถึงแม้ว่าในประเทศไทย จะยังไม่สามารถใช้ฟีเจอร์ใหม่ของ Facebook อย่าง “Shops” ได้ในตอนนี้ แต่ผู้เขียนเชื่อว่าอีกไม่นาน เราจะสามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้อย่างแน่นอน ซึ่งในการเตรียมพร้อมก่อนใช้งานฟีเจอร์ใหม่อย่าง “Shops” นั้นเราสามารถทำได้ด้วยการวางโครงสร้างจากฟีเจอร์ร้านค้ารูปแบบเดิมของ Facebook ที่มีเตรียมเอาไว้ ซึ่งนอกจากจะทำให้สามารถปรับใช้ได้รวดเร็วเมื่อถึงเวลา ยังทำให้เรารู้ว่ามันทำงานอย่างไรเพื่อความคุ้นเคยอีกเช่นกัน ซึ่งการเตรียมพร้อมมีอยู่ 5 ขั้นดังนี้ครับ
ขั้นที่ 1 ไปยังเพจของเรา เพื่อเข้าไปเปิดใช้งาน “shop”
1.1 ไปยังหน้าเพจธุรกิจที่เราเป็นแอดมินแล้วดูว่าเรามีตัวเลือก “ร้านค้า” ที่แถบซ้ายของเพจหรือไม่
1.2 ถ้าหากไม่มีตัวเลือกนี้ เราสามารถแก้ไขได้ที่ “การตั้งค่า” แล้วเลือก “เทมเพลตและแท็บ”
1.3 ตามหาแถบ “เทมเพลตปัจจุบัน” กด “แก้ไข” แล้วเลือก “ชอปปิง”
ขั้นที่ 2 ตั้งค่าข้อมูลร้านค้า
2.1 ออกมาที่เเถบด้านซ้ายของหน้าเพจธุรกิจแล้วเลือก “ร้านค้า” จะมีหน้าต่างเด้งขึ้นมาให้เราอ่านเพื่อให้เรายอมรับข้อกำหนด ซึ่งถ้าหากเรายอมรับให้กด “ดำเนินการต่อ”
2.2 เลือกว่าจะให้มีวิธีการชำระเงินอย่างไร โดยมีให้เลือกสองแบบได้แก่ “ส่งข้อความเพื่อสั่งซื้อ” หรือ “ชำระเงินบนเว็บไซต์อื่น” ซึ่งมีความแตกต่างกันดังนี้
ส่งข้อความเพื่อสั่งซื้อ โดยจะมีขั้นตอนคือ เมื่อลูกค้าสนใจจะมีข้อความเด้งไปให้เราตอบกลับผ่าน Facebook Messenger โดยข้อดีของมันก็คือเราสามารถขาย Facebook ได้โดยไม่ต้องมีแพล็ตฟอร์มออนไลน์จริง ๆ แต่ข้อเสียของมันก็คือ ถ้าหากเรามีลูกค้าจำนวนมาก จะทำให้เราเกิดความลำบากในการตอบกลับหลาย ๆ คน
ชำระเงินบนเว็บไซต์อื่น คือการใช้เว็บไซต์ภายนอกอื่น ๆ มาใช้ร่วมกันในการให้ลูกค้าชำระสินค้า เช่น เว็บไซต์ Shopify และ Woocommerce เป็นต้น ซึ่งข้อดีของมันก็คือลูกค้าสามารถเลือกสินค้าแล้วชำระได้ทันที แต่ต้องมีเว็บไซต์ขายของออนไลน์ภายนอกมาใช้ร่วมกัน
ขั้นที่ 3 กำหนดการชำระค่าสินค้า
ในขั้นต่อมาคือการตั้งค่าการชำระสินค้า ซึ่งเราจะมาตั้งค่าได้จากการกด “ตั้งค่าชำระเงิน” ที่จะแสดงขึ้นมาเมื่อกดที่ “ร้านค้า” จากแถบด้านซ้ายของเพจ
โดยเราสามารถเลือกวิธีการได้ตามสะดวก ซึ่งในประเทศไทยสามารถทำได้ทั้งการตัดผ่านบัตรเครดิต และ โอนเงิน
ขั้นที่ 4 เพิ่มสินค้าในร้านค้า
ขั้นตอนที่ 4 คือการเพิ่มสินค้าเข้าไปในร้านค้า ซึ่งสามารถทำได้ที่ปุ่ม “เพิ่มสินค้า” ซึ่งเมื่อกดจะมีหน้าต่างขึ้นมาให้เรากรอกข้อมูล และ รูปภาพของสินค้าเราไป นอกจากนี้เรายังสามารถใส่ได้เป็นวิดีโออีกด้วย
ขั้นที่ 5 จัดการออเดอร์
ในขั้นตอนสุดท้าย คือการจัดการออเดอร์ซึ่งสามารถเข้าไปจัดการได้ผ่านการกดที่ “เครื่องมือการเผยแพร่” แล้วกดที่ “รายการสั่งซื้อที่รอดำเนินการ” ซึ่งในส่วนนี้เราจะสามารถดูข้อมูลต่าง ๆ และจัดการแต่ละออเดอร์ได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลผู้สั่ง หรือการติดต่อกับผู้ซื้อ
สรุป
ฟีเจอร์ใหม่ของ Facebook ที่กำลังจะเข้ามาอย่าง “Shops” นับว่ามีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก ด้วยจุดเด่นทั้ง 5 ข้อที่มีทั้ง
- การเพิ่มสินค้าเป็นคอลเลคชันไม่จำกัดจำนวน
- LIVE Shopping ที่สามารถให้กดซื้อสินค้าระหว่าง LIVE ได้
- การดูข้อมูลเชิงลึกผ่าน Insight
- การช่วยให้มีลูกค้าประจำจาก Loyalty Program
- การเชื่อมกับแอปพลิเคชันแชทเพื่อให้สื่อสารกับผู้ขายได้โดยตรง
ที่มา
https://ecommerce-platforms.com/ecommerce-selling-advice/how-to-create-a-facebook-shop-page
https://indianexpress.com/article/technology/social/facebook-shops-explained-how-do-thy-work-instagram-messenger-whatsapp-6418697/