เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรค Covid-19 ตั้งแต่ช่วงปี 2020 และ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ทั้งภาคธุรกิจ และ คนทั่วไปต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิตประจำวัน และปรับแผนกลยุทธ์การตลาดให้เข้ากับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่นี้ไม่มากก็น้อย เช่น
- การทำงานแบบ Work From Home
- การสั่งซื้อสินค้าต่าง ๆ หรือ การสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชั่น
- การประชุม และสัมมนาแบบ Virtual Meeting
- ร้านหน้าออฟไลน์ไม่สามารถขายสินค้า หรือเปิดร้านได้ตามปกติ
- การที่ทุกคนจะต้องรักษาความสะอาด ทิ้งระยะห่างในการยืนอย่างน้อย 1.5 เมตรเพื่อความปลอดภัยในด้านสุขอนามัย
สิ่งต่าง ๆ ที่ได้หยิบยกมาข้างต้น เป็นเพียงแค่ตัวอย่างของการปรับตัว เพื่อให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ในมุมของการทำธุรกิจทั้งในรูปแบบออฟไลน์ และ ออนไลน์ยิ่งจำเป็นต้องวิเคราะห์แผนการตลาด และการขายให้คมขึ้น โดยใช้งบประมาณที่มีให้คุ้มค่ามากที่สุด เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่กำลังมองหาสินค้า และ บริการ โดยหนึ่งในกลยุทธ์การทำ Digital Marketing ที่มีประสิทธิภาพ และ สามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณรอดจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนเช่นนี้ได้ ก็คือ การปรับแผนการยิงโฆษณานั่นเองค่ะ
ในวันนี้ STEPS Academy ได้เชิญคุณเจมส์ Digital Marketing Specialist จากทาง STEPS มาร่วมแบ่งปันข้อมูลดี ๆ และให้คำแนะนำด้านการปรับกลยุทธ์การยิงโฆษณาบน Google Ads เพื่อให้นักการตลาด ผู้บริหาร หรือเจ้าของกิจการที่กำลังมองหาวิธีการทำการตลาดเพื่อรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น หรือ ความไม่แน่นอนในช่วงเวลานี้ เพื่อให้สินค้า และบริการของเรายังคงสามารถขายได้ และเติบโตต่อไปได้ในอนาคตค่ะ
คำถาม: คุณเจมส์ช่วยแนะนำตัวเองได้ไหมคะ
คุณเจมส์: สวัสดีครับผมชื่อ วรณฐ ตั้งสุขนิรันดร หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ‘เจมส์’ ก็ได้ครับ ปัจจุบันทำหน้าที่เป็น Digital Marketing Specialist ดูแลด้านการวิเคราะห์กลยุทธ์การตลาดดิจิทัล และวางแผนงานโฆษณาครับ
ค่ะคุณเจมส์ ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณคุณเจมส์ที่ให้สัมภาษณ์ และ ร่วมแบ่งปันข้อมูลด้านการทำโฆษณาบน Google Ads ด้วยนะคะ ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มกันที่คำถามแรกเลยนะคะ
คำถาม: อันดับแรกเลย ทุกคนคงอยากรู้ว่า
ทำไมธุรกิจควรให้ความสำคัญกับแผนการยิงโฆษณา Google Ads คะ
คุณเจมส์: อันดับแรกนะครับ ผมขออธิบายก่อนว่า Google Ads หรือ Google Adwords เนี่ยมีผลต่อการทำธุรกิจในยุคดิจิทัลมาก ๆ เพราะมันคือวิธีการทำโฆษณาบนเครือข่าย Google ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่มีคนใช้ค้นหาข้อมูล (Search Engine) มากที่สุดในโลก และส่งผลให้การทำการตลาดในด้านอื่น ๆ สามารถดำเนินต่อไปได้ตามที่วางแผนไว้ ไม่ว่าจะเป็น
- การยิง Ads เพื่อทำ Content Marketing
- การยิง Ads เพื่อหากลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ และสร้างยอดขาย
- การยิง Ads เพื่อประชาสัมพันธ์งานอีเวนต์ หรือโปรโมชันที่จะเกิดขึ้น
ถ้าถามผมว่าทำไมนักการตลาด หรือผู้ที่กำลังทำโฆษณาควรยิงโฆษณาผ่าน Google ก่อนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่นนั่นก็เพราะ Google เป็นเว็บไซต์ที่มีคนเข้าไปค้นหาข้อมูลเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งจากที่ผมได้อ่านสถิติจาก Wordstream ก็พบว่า การจำนวนการค้นหาข้อมูลบน Google ต่อวันนั้น สูงถึง 3 พันล้านครั้ง แถมยังมีอัตราการเติบโตของการค้นหาเพิ่มขึ้นปีละ 10% อีกด้วย

ไม่ว่าใครกำลังค้นหาสินค้าอะไร หรือต้องการหาข้อมูลเรื่องอะไรอยู่ คุณก็จะเห็นโฆษณาจาก Google Search ปรากฏขึ้นมาเป็นอันดับแรก ๆ บนหน้า SERP หมายความว่า ถ้าคุณกำลังทำ Google Ad อยู่ นั่นเป็นโอกาสอันดี ที่คนจะคลิกเข้ามายังหน้าเว็บไซต์เรา หรืออาจคลิกมายังรูป และ วิดีโอคอนเทนต์ของเรา ทำให้เว็บไซต์เราเกิดยอด Conversion และเกิด โอกาสในการขาย ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมผมถึงเห็นความสำคัญของการยิงโฆษณาผ่าน Google เป็นอันดับแรกครับ
คำถาม: ค่ะคุณเจมส์ ทางทีมงานขอเข้าสู่คำถามต่อไปนะคะ
Google Ads เหมาะกับใคร และ ธุรกิจแบบไหนคะ
คุณเจมส์: เหมาะกับธุรกิจทุกขนาดที่มีหน้าเว็บไซต์เป็นของตัวเองครับ คือถ้าคุณทำธุรกิจออนไลน์ แล้วมีหน้าเว็บไซต์ แต่ยังไม่ได้วางแผนทำโฆษณา จริง ๆ แล้วแบรนด์คุณก็ยังคงสามารถขายสินค้า และ มีคนเข้ามายังหน้าเว็บไซต์ ที่คุณสร้างเอาไว้ ถ้าคุณทำคอนเทนต์แบบ Oraganic
การทำคอนเทนต์แบบ Organic จะต้องใช้เวลาในระดับหนึ่งเพื่อให้คอนเทนต์นั้น ๆ ติดอันดับต้น ๆ ในการค้นหา หรือที่เราเรียกว่า การทำ SEO ครับ แต่ว่าการยิงโฆษณาบน Google จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างยอดขายได้ไวขึ้น เพราะคอนเทนต์ที่เป็น Ad จะขึ้นติดท็อปเว็บไซต์ในหน้าแรก ทำให้กลุ่มเป้าหมายเห็นง่ายขึ้น และมีโอกาสในการคลิกสูง
นอกจากนี้ ทุกคนก็คงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้แบรนด์ต่าง ๆ มีโอกาสขายที่น้อยลง และมีความเสี่ยงสูงที่ธุรกิจจะขาดทุน โดยเฉพาะร้านค้าต่าง ๆ ที่ยังไม่ได้ทำการตลาดแบบออนไลน์ หรือแบบ Omni Channel (การตลาดแบบผสมผสานระหว่างรูปแบบออนไลน์ และออฟไลน์ที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการวางแผนธุรกิจ) ผมจึงมองว่าวิกฤติครั้งนี้ ธุรกิจออฟไลน์ก็ยังสามารถมองหาโอกาสได้ด้วยการเริ่มทำเว็บไซต์หน้าร้านได้อยู่ และลองยิงโฆษณาบน Google ดูเพื่อให้ธุรกิจของคุณนั้นดำเนินต่อไปได้นะครับ

คำถาม: เห็นด้วยมาก ๆ ค่ะ ที่นอกจากธุรกิจออนไลน์ที่มีเว็บไซต์สามารถยิงโฆษณาได้แล้ว ธุรกิจออฟไลน์ ร้านอาหาร หรือร้านค้าต่าง ๆ ก็ยังสามารถปรับตัวทันเพื่อให้ธุรกิจของคุณเข้ามาสู่สนามแข่งขันในตลาดดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ นะคะ ต่อมาที่คำถามที่ทุกคนกำลังสนใจกันดีกว่าค่ะ
ธุรกิจควรทำโฆษณาบน Google Ads อย่างไร ให้เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนในช่วงเวลาแบบนี้ดีคะ
คุณเจมส์: ผมขอแบ่งปันเทคนิคการปรับโฆษณาบน Google เป็น 5 เทคนิคนะครับ นั่นก็คือ
1 เน้นการรักษาฐานลูกค้าเก่า และการเจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่ใช่
2 การควบคุมงบประมาณในการยิงโฆษณา
3 การทำคอนเทนต์ให้เป็นที่น่าสนใจ
4 การเลือก Keywords สำหรับการยิง Ads
5 การวัดผลจากการยิงโฆษณา
สำหรับเทคนิคแรกนะครับ
1 เน้นการรักษาฐานลูกค้าเก่า และ การเจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่ใช่
เจ้าของธุรกิจ หรือนักการตลาดอาจจะสามารถวิเคราะห์กลยุทธ์การตลาดในช่วงการ Lock Down ระลอกที่ 1 และ 2 ได้ว่า กลุ่มลูกค้าของคุณอาจมีกำลังซื้อสินค้าและบริการที่ลดลง และ มีพฤติกรรมการซื้อสินค้าที่เปลี่ยนไป ซึ่งคำว่าเปลี่ยนไปของผมตรงนี้เป็นทั้งเชิงบวก และ เชิงลบ
ซึ่งในแง่ของเชิงลบนั้น แบรนด์ก็จะเห็นว่าลูกค้าบางกลุ่มที่เคยซื้อสินค้าจากหน้าร้านเราหายไป แต่ในแง่บวกก็คือ เราดันได้กลุ่มเป้าหมายกลุ่มใหม่เข้ามาเสียอย่างนั้น

อาจเป็นเพราะว่า การทำ Digital Marketing มีผลให้กลุ่มลูกค้าที่มีพฤติกรรมทำธุรกรรมซื้อสินค้า และ บริการผ่านโลกออนไลน์มีเพิ่มมากขึ้นในช่วงการกักตัว ซึ่งอาจเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีอายุน้อย หรือเป็นกลุ่ม Gen Z ก็ได้ หรือในอีกทฤษฎีของผมก็คือ เจ้าของธุรกิจที่มีหน้าร้านและทำการตลาดทั้ง Google My Business และ ยิง Google Ad ไปด้วย สามารถหากลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ได้จากทำเลท้องถิ่นที่โปรโมตอยู่
ดังนั้นผมขอแนะนำว่า ผู้ประกอบ นักการตลาด ที่กำลังวางแผนยิงโฆษณาควรพิจารณาสิ่งเหล่านี้ ได้แก่
- เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายที่สามารถหาโอกาสขายได้จริง เพื่อประหยัดงบในส่วนอื่น และมาเพิ่มในส่วนที่แบรนด์อาจจะมีโอกาสในการขายที่ง่ายกว่า
- ทำให้กลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ค้นหาแบรนด์ของเราเจอ ด้วยการยิงแอดบน Google และ สร้างร้านค้าออนไลน์บน Google My Business เพื่อให้ได้คนในท้องที่ ได้ค้นเจอเว็บไซต์ของเราได้ง่ายขึ้น
เพราะในมุมของลูกค้าเอง ก็หาข้อมูลออนไลน์มากขึ้นเช่นกัน เมื่อไม่สามารถออกจากบ้านได้ ซึ่งเราอาจได้กลุ่มเป้าหมายใหม่จากการทำเดลิเวอรี่ครับ
- รักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างลูกค้า และ แบรนด์ด้วยการเก็บ Data มาวิเคราะห์และทำการ Remarketing ยิงโฆษณากลับไปให้ลูกค้ากลุ่มนั้น ๆ
คำถาม: คุณเจมส์ช่วยแนะนำเครื่องมือในการค้นหาลูกค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยิงโฆษณาได้ไหมคะ
คุณเจมส์: ได้ครับ ธุรกิจออนไลน์สามารถใช้ Google My Business เพื่อดึงกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในท้องถิ่น
และ Google Trends เพื่อหา Keyword ติดเทรนด์ที่คนสนใจ หรืออยู่ในกระแสมาทำแคมเปญครับ
ต่อไปจะเป็นเรื่องของ Budget ในการทำโฆษณาซึ่งในส่วนนี้ทุก ๆ ธุรกิจจะต้องวางแผนให้รัดกุมมาก ๆ ครับ
2 การควบคุมงบประมาณในการยิงโฆษณา
ในเรื่องของการควบคุมงบประมาณในการทำโฆษณา นักการตลาด หรือผู้ประกอบการจะต้องกำหนดค่าใช้จ่ายขั้นต่ำที่เราสามารถใช้ได้ในแต่ละวัน หรือต่อเดือนที่เท่าไหร่
ตรงนี้ขึ้นอยู่กับทางร้านค้า หรือทางแบรนด์ได้เลยครับว่าเราจะตั้งค่าไว้ที่จำนวนเท่าไหร่ จะลองคิดแบบรายเดือนแล้วหารออกมาตกเป็นรายวันก็ได้ครับ
เช่น ผมวางแผนยิงโฆษณาบน Google เอาไว้ที่วันละ 300 บาท คิดเป็น 9,000 บาทต่อเดือน
แต่อย่างไรก็ตาม ผมต้องบอกก่อนว่า แต่ละธุรกิจจะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไปตามงบประมาณที่ใช้ และรูปแบบของธุรกิจด้วยนะครับ ดังนั้นถ้าแบรนด์คุณเพิ่งเริ่มต้นยิงแอด จะต้องวัดผลจากการลงทุนอย่างรัดกุมเพื่อให้ทราบว่างบที่คุณตั้งไว้ ได้ผลหรือไม่ หากยังไม่ได้ผลเท่าที่ควรก็สามารถค่อย ๆ เพิ่ม Budget ในการยิงโฆษณาเข้าไปอีกก็ได้ครับ
นอกจากนี้ในกรณีที่ธุรกิจของคุณอยู่ในกลุ่มที่ดำเนินการทางธุรกิจไม่ได้เลย หรือมีความจำเป็นจะต้องปิดหน้าร้าน และบริการ เช่น
ยิม สถานที่ออกกำลังกาย โรงเรียนต่าง ๆ และ คลินิกความงาม
ผมขอแนะนำว่า
- จัดงบประมาณใหม่ เพื่อยิงโฆษณาโปรโมตสินค้าที่ยังสามารถขายได้
เช่น คลินิคเสริมความงาม สามารถยิงโฆษณาที่เกี่ยวกับผลติภัณฑ์บำรุงผิวหน้าแทน เพื่อโปรโมตการทำทรีตเมนท์แทน
หรือ ยิมที่ไม่สามารถเปิดให้บริการได้ ก็สามารถยิงโฆษณาขายสินค้าอื่น ๆ ภายในยิม หรือเปลี่ยนเป็นวิธีการยิงโฆษณา เพื่อให้คำปรึกษาออนไลน์ หรือเทรนนนิ่งออนไลน์แทนครับ
- จัดงบประมานให้เหมาะสม โดยการย้ายงบประมาณในส่วนที่ไม่จำเป็นไปทำคอนเทนต์เพื่อสร้าง Brand Awareness เพื่อให้ลูกค้ายังคงเกิดการ Recall แบรนด์ได้ และสามารถสร้างประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ให้กับลูกค้าแทน
คำถาม: คุณเจมส์มีเครื่องมือในการทำการตลาดมาแนะนำไหมคะ สำหรับการยิงโฆษณาบน Google
คุณเจมส์: มีครับ เครื่องมือสำหรับการจัดงบประมาณในการยิงโฆษณา หลัก ๆ จะมี 2 เครื่องมือด้วยกัน ก็คือ
1 Automated Bidding:
เพิ่มประสิทธิภาพสำหรับการสร้าง Conversion โดยเสนอราคาแบบอัตโนมัติในการประมูล โดยเราสามารถกำหนด Budget ในการยิงโฆษณาต่อวันได้เอง
2 Smart Bidding:
เครื่องมือจาก Google ซึ่งอาจต้องใช้งบประมาณที่สูงกว่าเครื่องมือแรก เพราะในช่วงแรก Smart Bidding อาจจะยิงแอดแบบที่เรียกว่า ไม่เจาะจงกลุ่มเป้าหมายเลยก็ว่าได้ แต่คุณอาจจะได้กลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ที่คุณอาจไม่รู้มาก่อนว่า คนกลุ่มนี้ก็สนใจสินค้าจากแบรนด์คุณด้วย ทำให้คุณมีโอกาสในการสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นครับ
3 การทำคอนเทนต์ให้เป็นที่น่าสนใจ
คุณแจมส์: ในส่วนของการทำคอนเทนต์ เป็นหนึ่งในส่วนของความสำเร็จของการยิง Google Ads ครับ เนื่องจาก
- การเลือกประเภทคอนเทนต์ที่น่าสนใจที่จะนำมายิงโฆษณา ส่งผลให้ผู้ใช้งานบน Google ตัดสินใจคลิกมากขึ้น
เช่น การทำโฆษณาสำหรับคอนเทนต์วิดีโอ จะได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย
มากกว่าคอนเทนต์ที่มีแต่ตัวอักษร
- การทำคอนเทนต์แบบ Longform ก็สามารถดึงความสนใจได้ครับ ถ้าบทความของคุณช่วยแก้ปัญหา และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ ซึ่งนักการตลาดที่ทำคอนเทนต์จะต้องเลือกสรรเนื้อหาที่มีประโยชน์ให้กับผู้อ่านมาทำการยิงโฆษณาครับ
- ผมแนะนำว่า การทำคอนเทนต์แบบ Real-time หรือคอนเทนต์ที่เป็นกระแสในสังคมมักได้รับความสนใจค่อนข้างมาก หากนักการตลาด และผู้ประกอบการมีไอเดียดี ๆ ก็สามารถนำมาโปรโมตได้นะครับ
คำถาม: คุณเจมส์มีคำแนะนำอื่น ๆ สำหรับการทำคอนเทนต์ให้ถูกใจลูกค้า แบบที่เห็นโฆษณาแล้วต้องคลิกเลยไหมคะ
คุณเจมส์: ผมกำลังจะแนะนำในส่วนถัดไปเลยครับ ผมอยากแนะนำให้แบรนด์เลือก Keyword ที่ใช่เข้ามาอยู่ในโฆษณาด้วยครับผม
4 การเลือก Keywords สำหรับการยิง Ads
ผมจะขอลิสต์เทคนิคการเลือก Keyword เอาไว้ให้เป็นข้อ ๆ นะครับ ในวันนี้ผมมี 5 เทคนิคการเลือก Keyword ให้ถูกใจคนอ่าน และสามารถเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับธุรกิจออนไลน์ด้วยการ…
- เลือกใช้ Keyword ที่เจาะจง เกี่ยวข้องกับแบรนด์ สินค้า และ บริการของเรา

- เลือกใช้ สำหรับผู้ที่ใช้ Voice Search หรือการใช้คำสั่งเสียงในการค้นหา เพราะคนในยุคนี้นิยมใช้ Siri และ Google เพื่อหาข้อมูล และหาสินค้าที่ต้องการ โดยรูปแบบ Keyword จะมาเป็นประโยคยาว ๆ ดังนั้น การทำ Long Tail Keyword จะตอบโจทย์มาก ๆ สำหรับการทำคอนเทนต์ทั้งแบบ Organic และแบบ Paid Search ครับ
- ไม่จำเป็นต้องเลือก Keyword ที่มีการแข่งขันสูง เพื่อลดความเสี่ยงที่โฆษณาของอาจจะไม่ถูกคลิก และมีคู่แข่งขันที่มากเกินไป ทางแก้ก็คือ ลองเลือก Keyword ที่มีอัตราการแข่งขันระดับกลาง หรือมี Search Volume ไม่สูงจนเกินไป
และที่ขาดไม่ได้ ก็คือเครื่องมือที่ใช้สำหรับวิเคราะห์ Keyword ซึ่งผมขำแนะนำเครื่องมือเหล่านี้ครับ

เครื่องมือนี้สามารถวิเคราะห์ได้ว่า อัตราการแข่งขัน หรือผู้ที่ใช้ Keyword นี้มีสูงหรือไม่ Keyword มีค่าโฆษณาอยู่ที่เท่าไหร่ และเราสามารถวิเคราะห์หาค่า CTR, Impression และ จำนวนการคลิกได้ด้วยครับ

เครื่องมือช่วยวิเคราะห์ “คีย์เวิร์ด” ที่เราต้องการจะใช้ และ “วิเคราะห์เว็บไซต์ของทั้งเราและคู่แข่ง” เพื่อเป็นแนวทางในการทำคอนเทนต์ให้น่าสนใจ และ ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับ SEO โดยเครื่องมือนี้เป็นเครื่องมือที่ถูกทำขึ้นโดย Neil Patel ที่หลาย ๆ คนในแวดวง Digital Marketing ทั่วโลกน่าจะคุ้นเคยกัน โดยการใช้ Ubersuggest สามารถแบ่งการใช้ได้เป็น 3 ส่วนด้วยกันซึ่งได้แก่
- การใช้ Ubersuggest เพื่อวิเคราะห์คีย์เวิร์ด
- การใช้ Ubersuggest เพื่อวิเคราะห์เว็บไซต์
- การใช้ Ubersuggest เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบอื่น ๆ ของ SEO

Social Listening Tools ที่สามารถวิเคราะห์ได้ทั้ง Keyword ของธุรกิจเรา และของคู่แข่ง แถมยังสามารถวิเคราะห์ไอเดียคอนเทนต์เจ๋ง ๆ ที่นักการตลาดสามารถดึง Keyword ไปทำคอนเทนต์โฆษณาได้ครับ
คำถาม: และเทคนิคสุดท้าย นั่นก็คือการวัดผลใช่ไหมคะ
คุณเจมส์: ใช่แล้วครับ สุดท้ายแล้วไม่ว่าคุณจะยิงโฆษณาบน Google หรือการทำการตลาดกลยุทธ์ไหนก็จะต้องให้ความสำคัญกับการวัดผลจากการทำการตลาดครับ
5 หมั่นวัดผลจากการยิงโฆษณา

คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าการยิงโฆษณาบน Google ของคุณนั้นคุ้มค่า และลูกค้าที่เข้ามายังหน้าเว็บไซต์มาจาก Google Ads จริง ๆ นักการตลาดก็จะต้องใช้ Metrics ที่อยู่ในเครื่องมือการตลาดออนไลน์มาวิเคราะห์ใช่ไหมครับ ซึ่ง Google Ads Metrics ที่เราสามารถนำมาใช้วิเคราะห์ Data มีด้วยกันหลายตัวมาก ๆ จะขึ้นอยู่กับเป้าหมายที่เราวางเอาไว้ และประโยชน์จากการวัดผลที่เราสามารถนำไปปรับปรุงได้ในอนาคตครับ
ตัวอย่างเช่น
- การวัดผล Conversion Rate หรืออัตราการคลิกโฆษณา
- การวัดค่า CTR
- การวัดค่า Average Position ของคอนเทนต์โฆษณา
- การวัดผลจาก Quality Score ที่อัลกอริทึ่มของ Google วิเคราะห์ออกมา

ผู้ให้สัมภาษณ์: วรณฐ ตั้งสุขนิรันดร
ตำแหน่ง: Digital Marketing Specialist
เขียน และ เรียบเรียง: STEPS Academy