ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา STEPS ACADEMY ได้ทำสัมมนาออนไลน์ในหัวข้อ
Martech for Content Marketing 2023
โดยสัมมนาออนไลน์ในรอบนี้ มีคุณเอ็มมี่ ณัฐวีร์ ตันติสัจจธรรม CEO ของ STEPS ACADEMY
ได้เข้ามาร่วมแบ่งปันในหัวข้อ
How Global Technology will Affect Business and Marketing ?
และมี คุณพล วรรณชนะ COO ของ STEPS ACADEMY มาแบ่งปันในส่วนของหัวข้อ
Martech Tools for Content Creation
หากท่านใดพลาดไปสามารถลงทะเบียนเพื่อดูย้อนหลังได้ที่
https://upskill.in.th/courses/martechtoolsforcontent_2023/
โดยประเด็นในส่วนของ Global Trend ทางทีม STEPS ขอสรุปออกมาเป็นประเด็นให้ผู้อ่านได้ดังต่อไปนี้ค่ะ
4 Global Trend ที่ส่งผลต่อธุรกิจ
1. ผลกระทบจากช่วง Covid-19 ที่ผ่านมาทำให้การใช้ AI มีผลต่อชีวิตมนุษย์มากขึ้น
หลายที่มีการใช้ AI เพื่อช่วยงานบริการไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมทางการแพทย์ อุตสาหกรรมทางการท่องเที่ยว เพื่อลดการสัมผัสกันระหว่างมนุษย์ แต่สำหรับในฝั่งของการตลาดเองก็มีการใช้ AI มาช่วยคิดไอเดียใหม่ๆ สำหรับการทำงานในฝั่งของครีเอทีฟบ้าง ฝั่งของคอนเทนต์บ้าง และ ฝั่งของการทำงานเพื่อช่วยสร้างระบบการตลาดแบบอัตโนมัติให้กับธุรกิจ หลักๆแล้ว
การใช้ AI สำหรับ ณ ปัจจุบันก็เป็นแนวโน้มการใช้เพื่อประหยัดเวลา หรือนำมาใช้งานในส่วนงานที่มนุษย์ต้องทำซ้ำๆ เพื่อให้มนุษย์มีเวลามากขึ้นไปทำงานอื่นๆ เพื่อการต่อยอด และ AI ก็เข้ามาช่วยเพิ่มชิ้นงานให้มนุษย์สามารถสร้างชิ้นงานได้มากขึ้นอีกด้วย
2. เทรนด์ของการใช้ E-Commerce และ Social Commerce เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
พฤติกรรมของผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม E-Commerce จะถูกปรับเปลี่ยนไปเป็นการซื้อสินค้า
ผ่านระบบ Social Commerce มากขึ้นเนื่องจาก
Touch Point หรือจุดเริ่มต้นที่ลูกค้ารู้จักสินค้าคือ Social Media
จึงทำให้ ณ ปัจจุบันมี Social Media หลายแพลตฟอร์มที่เชื่อมการซื้อสินค้าระหว่างการชมคอนเทนต์ได้เลยทันที
ทำให้ผู้ชม ผู้ดู ผู้ติดตามนั้นๆ ได้ตัดสินใจซื้อทันทีเพียงเสี้ยววิ หลังจากที่ได้รับชมคอนเทนต์บนโลกโซเชี่ยลมีเดีย
ไม่ว่าจะเป็น
Facebook , Instagram และ Tiktok ที่ร้านค้า และ ธุรกิจต่างๆ ก็กระโดดเข้ามาใช้ Tiktok อย่างครบทุก Touch Point
ตั้งแต่ทำให้คนรู้จัก สร้าง Engagement จนกระทั่งตัดสินใจซื้อสินค้า
และจะเกิดอะไรขึ้นหากลูกค้าคุ้นเคยกับระบบสั่งสินค้าผ่าน Tiktok มากขึ้นทุกวัน แน่นอนว่าทางแบรนด์ก็ต้องพิจารณา Tiktok ใหม่ในฐานะ Social Commerce อย่างเต็มรูปแบบ อย่างแน่นอน
3. Sustainability Product
สินค้าที่ตอบโจทย์เรื่องของความยั่งยืนที่ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและโลก ถือเป็นอีกจุดหนึ่งที่ผู้บริโภคยุคใหม่ ให้ความสำคัญกับสินค้าที่ไม่เป็นภัยต่อโลกและไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อความยั่งยืนให้กับโลกใบนี้
จึงมีผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ตอบโจทย์เรื่องของการรักษ์โลกมากขึ้นไม่ว่าจะเป็น
- ผลิตภัณฑ์อาหารที่ลดเรื่องของ Food Waste
- ผลิตภัณฑ์สินค้าแฟชั่นที่มีการเอาวัสดุมารีไซเคิล
- การขนส่งที่ลดมลภาวะเรือนกระจก และ ลดคาร์บอนในอากาศได้
ทั้งหมดทั้งมวล ถือเป็นเพียงตัวอย่างจากบางส่วนของการสร้างแบรนด์ที่มีมุมในการสื่อออกไปเพื่อตอบโจทย์ ด้านของ Sustainability เพราะฉะนั้นสำหรับท่านไหนที่กำลังอยากเจาะกลุ่มตลาดคนรุ่นใหม่อาจจะต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ให้เป็นจุดสำคัญมากๆในการผลิตสินค้า หรือ ธุรกิจไหนที่มีการทำ CSR หรือ Corporate Social Responsibility ก็จะต้องพิจารณาเรื่องของ Sustainability เป็นหลักเช่นกันค่ะ
4. Personalised Marketing
การทำตลาดแบบการสื่อสารเฉพาะบุคคล จริงๆมีการพูดถึงกันมาอยู่ตลอด แต่ในปี 2023 นี้การนำเรื่องของ Personalisation มาใช้กับการตลาดจะมีการใช้ที่ลึกขึ้น เพราะก่อนหน้านี้เราถือว่าเรายังไม่ได้เข้าสู่ยุคการตลาดแบบ Personalised Marketing อย่างเต็มตัวเพราะยังถือว่าเป็นการทำการตลาดแบบเน้นการสื่อสารเฉพาะกลุ่มหรือที่เรียกว่า Segmentation ส่วนใหญ่ ในปี 2023 นี้ธุรกิจหลายขนาดก็เริ่มพัฒนาในส่วนของ Data เพื่อการสื่อสารเฉพาะบุคคลมากขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้ก็มีการพูดถึงเรื่องของการใช้ Martech หรือ Marketing Technology มาช่วยงานในการทำให้งานของฝั่ง Marketing นั้นลื่นไหลมากขึ้น และเพราะหลังจากที่เรารู้เกี่ยวกับเรื่องของ Global Technology Trend ที่มีผลต่อธุรกิจแล้ว เราจะเห็นได้ว่างานในส่วนของการสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่เกิดขึ้นก็คงมีมากขึ้นไม่แพ้กัน
เพราะฉะนั้นแล้ว การนำเครื่องมือ Martech หรือ Marketing Technology มาช่วยงานในส่วนของฝั่งคอนเทนต์นั้นก็น่าจะทำให้ฝ่ายการตลาดสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้มากขึ้น ทำไอเดียคอนเทนต์ได้ตรงใจกับลูกค้ามากขึ้น ในเวลาที่มีจำกัด
จากภาพด้านบนจะสามารถช่วยอธิบายกระบวนการในการผลิตคอนเทนต์เพื่อนำไปสู่ที่สาธารณะโดยมีขั้นตอนทั้งหมด 5 ข้อด้วยกัน เริ่มต้นจาก
5 ขั้นตอนในการสร้างคอนเทนต์
1. ขั้นตอนการวิเคราะห์ และการวางแผน
สำหรับขั้นตอนการวิเคราะห์นี้ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากที่เราจะต้องวิเคราะห์ลูกค้า การแข่งขันในอุตสาหกรรม คู่แข่ง และ แบรนด์ของเราว่าตอนนี้ลูกค้ากำลังมองหาอะไร ชอบปฏิสัมพันธ์กับคอนเทนต์แบบไหน และ คู่แข่งในตลาดกำลังนำเสนออะไรอยู่ มีตรงจุดไหนไหมที่เป็นช่องว่างระหว่างสิ่งที่ลูกค้ามองหาและสิ่งที่คู่แข่งในตลาดยังไม่ได้นำเสนอ ตรงจุดนั้นก็สามารถเป็นจุดเริ่มต้นในการเสริมคอนเทนต์ของเราไปได้ นอกเหนือจากการวิเคราะห์แบรนด์ สิ่งที่แบรนด์เรามี สิ่งที่คู่แข่งมี และ สิ่งที่ลูกค้าต้องการหรือมองหาอยู่นั้นก็จะมีการวิเคราะห์เจาะลึกในเรื่องของสิ่งที่ลูกค้ามองหาโดยการใช้เครื่องมือต่างๆ และ โดยพื้นฐานแล้วเราสามารถใช้เครื่องมือ Martech ที่ฟรีและไม่เสียค่าใช้จ่ายอย่างเช่น Google Search Trend , Google Keyword Planner ที่สามารถช่วยให้เราหาเทรนด์ในการค้นหาได้ในหลายรูปแบบของคอนเทนต์ไม่ว่าจะเป็นคอนเทนต์ประเภท Text หรือตัวอักษร หรือคอนเทนต์ประเภท รูปภาพ และ วิดีโอ ก็ใช้ข้อมูลที่ได้จากเครื่องมือนี้ แล้วนำมาวิเคราะห์และต่อยอดการวางแผนด้าน Content Direction หรือทิศทางในการนำเสนอคอนเทนต์ได้อีกด้วย
2. ขั้นตอนที่เราหาไอเดียคอนเทนต์จากขั้นตอนที่ 1
เพื่อนำมาต่อยอดด้านหัวข้อคอนเทนต์ซึ่งขั้นตอนนี้โดยปกติแล้ว หากใครทำงานสายด้านคอนเทนต์หรืออยู่เอเจนซี่เราจะทราบกันดีว่า การทำคอนเทนต์ขึ้นมาไม่มีสิ่งไหนที่ดีที่สุด และ เราต้องทดสอบว่าคอนเทนต์ของเราตอบโจทย์จุดประสงค์ของธุรกิจและลูกค้าได้หรือไม่ โดยขั้นตอนนี้เราต้องผลิตคอนเทนต์ไอเดียออกมาในจำนวนมากเพื่อการทดลองที่เรียกว่า A/B Testing หรือ บางครั้งสำหรับสายงานเอเจนซี่ก็ถือว่าเราต้องมีการผลิตไอเดียใหม่ๆ เพื่อนำเสนอลูกค้าอยู่เสมอ แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าคอนเทนต์ของเราประสบความสำเร็จหรือมีที่มาที่ไปในการคิดมากขึ้น ตรงจุดนี้ก็สามารถใช้เครื่องมือ Martech มาช่วยในการคิดคอนเทนต์ได้ด้วย
ซึ่ง Martech ที่ทางคุณเอ็มมี่ ณัฐวีร์ ตันติสัจจธรรมได้แนะนำมาใน Session ของ สัมมนาออนไลน์ของเราก็มีตัวช่วยอยู่ 4 เครื่องมือด้วยกันก็คือ
- Jasper.ai
- Rytr.me
- Notion AI
- Canva AI
ทั้ง 4 ตัวนี้ก็มีคุณสมบัติที่เหมาะกับเนื้องานในการช่วยคิดไอเดียคอนเทนต์ที่ไม่เหมือนกัน และ เหมาะกับการผลิตคอนเทนต์ที่แตกต่างกันอีกด้วย สำหรับท่านไหนที่อยากจะทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องมือต่างๆสามารถรับชมวิดีโอ ย้อนหลังของ สัมมนาออนไลน์ ได้ที่ https://upskill.in.th/courses/martechtoolsforcontent_2023/
3. ขั้นตอนการผลิต
คือขั้นตอนที่ต่อยอดมาจากขั้นตอนที่ 2 คือหลังจากที่เรามีไอเดียแล้ว เราจะต้องผลิตเพื่อให้ออกมาในรูปแบบที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเชิง ตัวอักษร รูปภาพ วิดีโอ หรือเสียงก็ตาม ใน Session ของการแบ่งปันนี้คุณเอ็มมี่ก็จะได้แนะนำเครื่องมือ Martech 4 เครื่องมือจากข้อที่ 2 มาให้ว่าสามารถใช้เครื่องมือเหล่านั้นมาช่วยในขั้นตอนของการผลิตได้ แต่เราจะต้องตรวจสอบ ว่าสิ่งที่เครื่องมือช่วยเรานั้นตรงกับสิ่งที่เรากำลังค้นหาอยู่หรือไม่ สำหรับเครื่องมือบางเครื่องมือ ก็อาจจะมีขีดจำกัดด้านภาษาไทย บางเครื่องมือจะเหมาะสำหรับการผลิตคอนเทนต์แบบ Short Form หรืออะไรที่สั้นๆ กระชับ ได้ใจความ บางเครื่องมือก็เหมาะผลิตกับ Long Form หรือเครื่องมือที่สามารถช่วยผลิตคอนเทนต์ในเชิงวิชาการ หรือให้ความรู้ได้มากขึ้น
4. การปล่อยคอนเทนต์
การปล่อยคอนเทนต์ในวันที่ใช่ ในชั่วโมงหรือเวลาที่ใช่ ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กับขั้นตอนการมองหาคอนเทนต์ที่ลูกค้ามองหาอยู่ และหลายช่องทางที่คนทำงานสายการตลาดและคอนเทนต์จะต้องรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นการที่จะต้องคอยสลับแพลตฟอร์มไปมาในการตั้งเวลา ก็จะเป็นการเสียเวลาและอาจจะก่อให้เกิดความผิดพลาดในการทำงานได้อีกด้วย เราสามารถใช้ Social Media Scheduling Tools ต่างๆมาช่วยลดความยุ่งยาก และ ลดความผิดพลาดในการทำงานของเราได้ไม่ว่าจะเป็นการใช้เครื่องมือ Hootsuite , Buffer เป็นต้น แต่ละเครื่องมือก็จะมีข้อดีที่แตกต่างกันไป
5. ขั้นตอนของการติดตามผล และ การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของคอนเทนต์
ที่เราได้ทำการปล่อยไปแล้วว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไรบ้าง เป็นไปอย่างที่เราคาดคิดไว้หรือไม่ ซึ่งในขั้นตอนนี้สามารถใช้เครื่องมือ Social Media Monitoring ในการติดตามผลและวิเคราะห์ผลลัพธ์อย่างมีที่มาที่ไปได้
ทางวิทยากรของเรา คุณเอ็มมี่ ณัฐวีร์ ตันติสัจจธรรมก็ได้แบ่งปันเครื่องมือที่มีชื่อว่า Fanpage Karma ค่ะ
สำหรับ 5 ขั้นตอนที่กล่าวมาข้างต้นสามารถลงทะเบียนเพื่อรับชมย้อนหลังได้ที่
https://upskill.in.th/courses/martechtoolsforcontent_2023
และสำหรับท่านไหนที่สนใจอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักสูตร Digital Content Marketing ในวันที่ 9-10 มีนาคมนี้สามารถติดต่อทีมงานได้ที่
Facebook: Inbox STEPS Academy
LINE OA: @STEPStraining https://lin.ee/jRRdsrN
หรือโทร 065-494-6646