อยากทำการตลาดให้ตอบโจทย์ลูกค้า และหากลุ่มเป้าหมายที่ใช่ ต้องใช้ Data เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ ซึ่งนักการตลลาด และ ผู้ประกอบการต้องรู้จักความแตกต่างของ Data ประเภทต่าง ๆ เพื่อนำ Data ไปใช้ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเราสามารถแบ่ง Data ออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่
- First-Party Data
- Second-Party Data
- Third Party-Data
Data ทั้ง 3 ประเภทนี้ล้วนสำคัญต่อการทำการตลาดดิจิทัล แต่ปริมาณ และ คุณภาพมีความแตกต่างกัน นอกจากนี้ คุณผู้อ่านอาจเคยได้ยินข้อมูลประเภท Zero-Party Data อีกด้วย ดังนั้น STEPS Academy ขอสรุปความหมายของ First Party Data, Second Party Data และ Third Party Data” อีกทั้ง เรายังแถมบทสรุปความหมายของ Zero-Party Data ให้คุณผู้อ่านเพิ่มเติมเพื่อนำไปต่อยอดธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถทำการตลาดแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Marketing) กันค่ะ
First-Party Data คืออะไร
First-Party Data คือข้อมูลที่แบรนด์เป็นผู้รวบรวมจากช่องทางต่าง ๆ โดยตรง ไม้ว่าจะเป็นข้อมูลจากบนเว็บไซต์ของแบรนด์ หรือ แอปพลิเคชัน ซึ่ง ข้อมูลเหล่านี้ทางแบรนด์จะเป็นผู้สะสมเองผ่านการเก็บ Cookie ที่ผู้ใช้งาน หรือผู้ที่เข้ามาเยี่ยมเว็บไซต์ให้อนุญาตเก็บข้อมูล ภายใต้กฎหมาย PDPA หรือ อาจะเป็นข้อมูลจากการเข้าระบบบัญชีผู้ใช้ ซึ่งเมื่อเทียบกับ Data ประเภทอื่น ๆ นั้นจะมีคุณภาพมาก และ เชื่อถือได้ เนื่องจากเป็นลูกค้าที่มีประวัติในการซื้อสินค้า หรือเคยทำกิจกรรมบางอย่างผ่านแคมเปญของแบรนด์
ตัวอย่าง First-Party Data
- อีเมลลูกค้า ที่สมัครสมาชิก หรือ กดติดตามข่าวสารผ่านอีเมล
- เบอร์โทรศัพท์ของลูกค้า
- ข้อมูล Engagement บนเว็บไซต์
- ข้อมูล Engagement จากช่องทางโซเชียลมีเดีย
- ข้อมูลประวัติการซื้อสินค้าของลูกค้า
- ข้อมูลจากผลสำรวจต่าง ๆ ที่ลูกค้าเคยกรอก
- ผลตอรับ หรือ รีวิวของลูกค้าจาก Loyalty Program
- Referral Data จาก Affiliate Program
- ข้อมูลลูกค้าจากแอปพลิเคชัน
- ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ ๆ ลูกค้ามี Engagement ผ่านช่องทางแอปพลิเคชันบนมือถือ
จากภาพตัวอย่างด้านบนจาก Claravine เผยว่า 70% ของผู้ที่ทำโฆษณาวางแผนในการนำ First Party Data ไปปรับใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงธุรกิจให้ดีขึ้น
ข้อดี และ ข้อจำกัดในการใช้ First-Party Data
ข้อดี
- ทำให้นักการตลาดเข้าใจว่ากลุ่มลูกค้าของเราเป็นใคร
- สามารถเข้าถึง และ เข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลเชิงลึก และ เทรนด์ของผู้บริโภค
- เป็นข้อมูลที่สามารถนำไปทำ Segmentation ได้สำหรับการทำแคมเปญครั้งต่อไป
- สามารถนำไปปรับใช้ในการทำ Personalized Marketing
ข้อจำกัด
- ข้อมูลอาจไม่ครอบคลุม หรือถูกต้องแบบ 100%
- ข้อมูลสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามเทรนด์ ซึ่งต้องคอยอัปเดตให้ทันอยู่เสมอ
- มีข้อจำกัดด้านปริมาณเนื่องจากต้องใช้เวลาในการสะสม จัดเก็บ
Second-Party Data คืออะไร
Second-Party Data คือข้อมูลมาจากการเก็บ Data จากผู้อื่นโดยมีข้อตกลงในการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน เรียกง่าย ๆ ว่าข้อมูลประเภทนี้ คือ First-Paty Data ของผู้อื่นนั่นเอง โดยแบรนด์ของเราได้ทำการซื้อขาย หรือมีข้อตกลงแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ทำให้นักการตลาดมีข้อมูลในมือที่หลากหลายขึ้น กว้างขึ้นกว่าการมีแค่ First-Party Data รูปแบบเดียว
ตัวอย่าง Second-Party Data
- ข้อมูลจาก User-Generated Content
- ข้อมูลจากโพสต์ต่าง ๆ บนโซเชียลมีเดีย
- ข้อมูลรีวิวที่รวบรวมมา
- การเก็บข้อมูลลูกค้าจากสถานที่ต่าง ๆ
- ช่องทางการซื้อสินค้า
- ข้อมูลทางด้านภูมิศาสตร์ของลูกค้า
- ข้อมูลโฆษณาของบุคคลที่สาม
- ข้อมูลจาก Loyalty Program
- ข้อมูลการขายที่รวบรวมจาช่องทางออฟไลน์ และ ออนไลน์
- ข้อมูลีท่เกี่ยวกับการค้นหาสินค้า และ เทรนด์
ข้อดี และ ข้อจำกัดในการใช้ Second-Party Data
ข้อดี
- แบรนด์สามารถเข้าถึงข้อมูลช่องทางอื่นได้นอกจากข้อมูลลูกค้าของแบรนด์เอง
- ทำให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ไวขึ้น ไม่ต้องรอเก็บ Data แบบ First-Party Data
- ข้อมูลมีความน่าเชื่อถือ เนื่องจากเป็นข้อมูลจากพาร์ตเนอร์ของแบรนด์
ข้อจำกัด
- มีค่าใช้จ่าย หรือ อาจมีราคาแพง
- การนำข้อมูลจากพาร์ตเนอร์มาใช้จำเป็นต้องมีความไว้วางใจกันสูง เนื่องจากข้อมูลที่มีไม่ใช่ข้อมูลที่เปิดเผยทั่วไป
- การควบคุมคุณภาพของข้อมูลอาจไม่เทียบเท่ากับคุณภาพของ First-Part Data
Third-Party Data คืออะไร
Third-Party Data เป็นข้อมูลที่มาจากการรวบรวมของบริษัท หรือองค์กรที่เป็นบุคคลภายนอก และขายให้กับแบรนด์ต่าง ๆ เพื่อนำไปต่อยอดทางการตลาด หรือทำโฆษณา ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถรวบรวมมาจากการสำรวจออนไลน์ได้อีกด้วย
บริษัทหรือองค์กรที่เป็นผู้เก็บข้อมูลไม่ได้เก็บ Data จากผู้บริโภคโดยตรง ซึ่ง Data ที่เก็บสะสมมานั้นจะมีปริมาณมาก เนื่องจากมาจากหลายแหล่ง แต่อาจไม่ได้มีการอัปเดต หรือทำความสะอาดข้อมูลให้ทันตามเทรนด์หรือช่วงเวลานั้น ๆ เท่าที่ควร ทำให้คุณภาพมีน้อยกว่า First-Party Data และ Second-Party Data แต่ถึงอย่างนั้น นักการตลาด และ ผู้ประกอบการก็ยังสามารถนำข้อมูลรูปแบบนี้มาใช้เพื่อศึกษา Insight ของผู้บริโภคได้เช่นกัน
ตัวอย่าง Third-Party Data
- ข้อมูลการซื้อออนไลน์จากแหล่งอื่น ๆ
- ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพอากาศ
- ข้อมูลโซเชียลมีเดียทั่วไป
- ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ต่าง ๆ แบบทั่วไป
- ข้อมูลด้านภูมิศาสตร์
- ข้อมูลเกี่ยวกับ Audience Segmentation
- ข้อมูลด้านการเงิน
- ข้อมูลการใช้แอปพลิเคชันผ่านสมาร์ทโฟน
- ข้อมูลโฆษณา
- ข้อมูล Marketplace หรือ แหล่งการซื้อขายบนโลกดิจิทัล
ข้อดี และ ข้อจำกัดในการใช้ Third-Party Data
ข้อดี
- ราคาถูกกว่า Second-Party Data
- มีปริมาณข้อมูลมหาศาล และมากที่สุดเมื่อเทียบกับปริมาณข้อมูลจาก First-Part Data และ Second-Party Data
- ให้ประโยชน์แก่แบรนด์หากต้องการสำรวจตลาดแบบทั่วไป หรือศึกษาเทรนด์การบริโภคทั่วไป
ข้อจำกัด
- ข้อมูลบางครั้งไม่อัปเดตเนื่องจากเป็นข้อมูลที่สะสมมานาน
- ความแม่นยำของข้อมูลน้อยกว่า First-Part Data และ Second-Party Data
- ไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างแน่ชัดว่าข้อมูลมาจากแหล่งไหน รวมทั้งวิธีการ
Zero-Party Data คืออะไร
Zero-Party Data คือข้อมูลที่ลูกค้าเต็มใจให้กับลูกค้า หรือมีเจตนาให้ข้อมูลกับแบรนด์โดยตรง โดยลูกค้าจะได้รับประโยชน์จากแบรนด์เป็นข้อแลกเปลี่ยนกัน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถเก็บมาจากการทำแบบสำรวจต่าง ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ของแบรนด์ การทำแบบสอบถามทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับสินค้า และ บริการ หรืออาจเป็นคำตอบจากลูกค้าที่ตอบมาเพื่อเล่นเกมกับแบรนดืค่ะ
ตัวอย่าง Zero-party data
- โพสต์จากโซเชียลมีเดีย
- ข้อมูลจากการวิเคราะห์เว็บไซต์
- Search Engine Queries
- ข้อมูลจากผลสำรวจลูกค้า
- ข้อมูลที่ลูกค้า Submit เข้ามาจากช่องทาง Customer Support
- Browser Cookies
- ข้อมูลความพึงพอใจของลูกค้าบนแอปพลิเคชัน
- บันทึก Video Streaming
- ข้อมูลเกี่ยวกับช่องทางการชำระสินค้า
- ข้อมูลเกี่ยวกับ GPS Location
ข้อดี และ ข้อจำกัดในการใช้ Zero-Party Data
ข้อดี
- มีคุณภาพสูง และ แม่นยำมาก
- ข้อมูลอัปเดต น่าเชื่อถือ
- สามารถนำไปต่อยอดในการทำ Personalized Marketing และนำไปสู่การสร้าง Custmer Loyalty ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อจำกัด
- ข้อมูลมีปริมาณที่จำกัด
- เมื่อรวบรวมมาแล้ว อาจวิเคราะห์ หรือ สรุปผลได้ยาก
- ลูกค้าจะต้องเต็มใจมอบข้อมูลส่วนตัวให้ โดยแบรนด์จะต้องมีข้อแลกเปลี่ยนให้กับลูกค้า
ความแตกต่างระหว่าง First-Party Data, Second-Party Data และ Third-Party Data
หากเราต้องการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง First-Party Data, Second-Party Data และ Third-Party Data สามารถดูที่กราฟจากภาพด้านบนกันได้เลย โดยสามารถแบ่งออกเป็นเชิงปริมาณ และ เชิงคุณภาพ
แน่นอนว่า First-Party Data เป็นประเภทข้อมูลที่มีคุฯภาพมากที่สุด เนื่องจากเป็นข้อมู,จากลูกค้าโดยตรง และ แบรนด์คู่แข่งไม่มี แต่มีปริมาณน้อยที่สุด ไม่สามารถรวบรวมได้อย่างรวดเร็ว
ส่วน Second-Party Data เป็นข้อมูลที่เราได้มาจากพาร์ทเนอร์ที่มีข้อตกลงร่วมกัน มีความน่าเชื่อถือในระดับรองลงมา แต่มีปริมาณที่มากกว่า สามารถนำปรับใช้ในการวิเคราะห์ตลาดได้
และ Third-Party Data ถึงแม้ว่าจะมีคุณภาพน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับข้อมูล 2 รูปแบบข้างต้น และ อาจไม่อัปเดตให้ทันกับเทรนด์ แต่มีปริมาณมากที่สุด ซึ่งแบรนด์สามารถนำมาศึกษา และ ดูแนวโน้มทางการตลาดแบบทั่วไปได้
ความแตกต่างระหว่าง Zero-Party Data และ First-Party Data
First-Party Data ให้ประโยชน์กับแบรนด์ในเชิงคุณภาพ เช่นเดียวกับ Zero-Party Data ซึ่ง First-Party Data สามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมลูกค้า ความชอบ และ ความสนใจ แต่ Zero-Party Data จะมีเป็นข้อมูลใหม่เพิ่มเติมจากลูกค้าในเชิงลึกมากยิ่งขึ้น ซึ่งนักการตลาดสามารถเรียนรู้ และ เข้าใจลูกค้าเกี่ยวกับความพึงพอใจที่ลูกค้ามี พฤติกรรมการซื้อสินค้า และความตั้งใจของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ ซึ่งข้อมูลนั้นเป็นการเก็บมาจากลูกค้าคน ๆ นั้นโดยตรง
สรุป
ปัจุบันนักการตลาดสามารถเก็บ Data ได้จากช่องทางที่ต่าง ๆ และมี Data หลายรูปแบบ โดยแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ๆ คือ
- Zero-Party Data
- First-Party Data
- Second-Party Data
- Third-Party Data
Data ทั้ง 4 รูปแบบนี้มีความแตกต่างกันในเรื่องของ ปริมาณ และ คุณภาพ ซึ่งจะนำไปสู่การตัดสินใจในการทำแคมเปญการตลาดได้ในอนาคต หากแบรนด์มี Data ครบทุกรูปแบบถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่จะเลือก Data มาใช้ให้เหมาะสม แต่หากไม่มี Data ครบทุกประเภท ก็สามารถนำข้อมูลจากบทความนี้ไปประกอบการตัดสินใจพื่อเลือกนำ Data มาใช้ให้ตอบโจทย์กับธุรกิจมากที่สุด และ เกิดประโยชน์สูงสุดค่ะ
ข้อมูลจาก
similarweb