หลายคนคงทราบดีว่ายุคนี้ เป็นยุคแห่งข้อมูล เพราะการซื้อสินค้าหรือบริการผ่านช่องทางออนไลน์ เรียกได้ว่ากลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนไม่มากก็น้อย ช่องทางออนไลน์จึงกลายเป็นแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ ที่เก็บบันทึกพฤติกรรมของผู้ซื้อ ตั้งแต่ข้อมูลพื้นฐาน ความสนใจ ไปจนถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต ล้วนถูกบันทึกไว้ไม่ว่าจะอยู่ในช่องทางไหน ข้อมูลเหล่านี้ล้วนเป็นประโยชน์ให้ธุรกิจในการนำไปต่อยอดเพื่อทำการตลาดออนไลน์ทั้งสิ้น เพราะหากเราสามารถเข้าใจและรับรู้ตัวตนของกลุ่มเป้าหมาย นั่นหมายความว่าเราสามารถนำเสนอสิ่งที่ตรงใจพวกเขา และมีโอกาสสร้างฐานลูกค้าประจำในอนาคตได้ สำหรับธุรกิจในทุกวันนี้ ที่ต่างมีช่องทางของตัวเองอยู่บนโลกออนไลน์ การมีข้อมูลของลูกค้าจึงเป็นเรื่องสำคัญ
“ข้อมูลเปรียบเสมือนทรัพย์สินที่มีมูลค่า สามารถนำมาใช้เพื่อสร้างรายได้มหาศาลแก่ธุรกิจ”
เราจึงสังเกตได้ว่า หลาย ๆ ครั้งแคมเปญต่าง ๆ มักจะยื่นข้อเสนอเพื่อแลกกับข้อมูลทั่ว ๆ ไปของเรา นอกจากข้อมูลจากการลงทะเบียน การกรอกแบบฟอร์ม หรือพฤติกรรมการกดลิงก์ต่าง ๆ แล้วข้อมูลพฤติกรรมพื้นฐานบนโซเชียลมีเดีย อย่าง Facebook, Instagram, Twitter รวมถึง Search Engine ก็มีการบันทึกข้อมูลพื้นฐาน พฤติกรรมการใช้งาน ความชอบต่างๆ เอาไว้ด้วยเช่นกัน
ถึงตรงนี้คงจะเกิดคำถามแล้วว่า ข้อมูลที่มากมายมหาศาลเหล่านั้น จริง ๆ แล้วธุรกิจสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านใดได้บ้างบทความนี้จึงรวบรวมแนวทางการนำ “Data” ที่มี ไปใช้กับการทำตลาดออนไลน์ หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า “Data-Driven Marketing” ค่ะ
Data-Driven Marketing คืออะไร ?
ก่อนจะเริ่มดูแนวทางการใช้ เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Data-Driven Marketing กันก่อนนะคะ โดย Data-Driven Marketing หรือ การตลาดที่มีข้อมูลเป็นสิ่งขับเคลื่อน คือ การทำการตลาดที่อิงตามการวิเคราะห์ข้อมูลที่เราเก็บมาไว้ เพื่อเป็นแนวทางในการวางกลยุทธ์ให้มีประสิทธิภาพ และ ตอบโจทย์นั่นเองค่ะ โดยแนวทางการทำ Data-Driven Marketing จะเป็นอย่างไรนั้นมาดูพร้อม ๆ กันได้เลยค่ะ
1. Data-Driven Marketing กับการใช้กำหนดกลุ่มเป้าหมายการทำโฆษณา
อย่างที่รู้กันค่ะว่า ช่วงเวลาความสนใจของคน ต่อสิ่งต่าง ๆ บนโลกออนไลน์นั้นสั้นลงทุกที พูดง่าย ๆ ก็คือ คุณมีเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ที่คนจะเห็นโฆษณาแล้วตัดสินใจว่าจะดูต่อหรือไม่ การยิงโฆษณาทั้ง Facebook Ads และ Google Ads ไปยังกลุ่มคนที่ไม่สนใจจึงไม่สร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจสักเท่าไหร่ ดังนั้นแล้ว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่การตลาดจะต้องถูกกำหนดเป้าหมายไปยังผู้ชมที่ต้องการสินค้าและบริการนั้นจริง ๆ สอดคล้องกับ Facebook, Google และ Instagram ที่มักจะแนะนำคอนเทนต์ต่าง ๆ ให้ผู้ใช้งานตามประเภท หรือเนื้อหาของคอนเทนต์ที่เคยรับชมมาก่อน ซึ่งการทำ Data-Driven Marketing กับข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าเหล่านี้นี่เอง ที่ช่วยเหลือ และเอื้ออำนวยประโยชน์ให้การกำหนดกลุ่มเป้าหมายของโฆษณา เข้าถึงคนที่ใช่สำหรับธุรกิจมากที่สุดค่ะ
ยิ่งเรามีฐานข้อมูลมากเท่าไหร่ เราก็จะสามารถคัดคนที่ “ไม่ใช่” ออกไป
และทำโฆษณาไปยังคนที่ “ใช่” ได้มากขึ้น
2. Data-Driven Marketing เพื่อความเข้าใจขั้นตอนการตัดสินใจของลูกค้า
ผู้บริโภคยุคใหม่คุ้นเคยกับการใช้สื่อดิจิทัล และแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย ในการค้นหาเพื่อช่วยในการตัดสินใจ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ธุรกิจต่าง ๆ จะต้องเข้าใจขั้นตอนการเดินทาง ก่อนการตัดสินใจซื้อของลูกค้าอย่างถ่องแท้ ตั้งแต่ขั้นตอน และเหตุผลของการซื้อ ไปจนถึงซื้อเมื่อไหร่ในราคาเท่าใด การทำ Data-Driven Marketing กับข้อมูลขั้นตอนในการตัดสินใจของลูกค้านี้ จะช่วยให้คุณทำการตลาดได้เหมาะสมกับแต่ละช่องทางมากขึ้น และมีโอกาสจะเพิ่มยอดขายที่มากขึ้นด้วย ตัวอย่างเช่น ฐานข้อมูลของธุรกิจ A มี Journey ที่หาข้อมูลและตัดสินใจซื้อผ่าน Facebook เป็นหลัก ส่วนธุรกิจ B มี Journey ในการหาข้อมูลและตัดสินใจซื้อผ่าน Google เป็นหลัก ด้วย Data-Driven Marketing เราจึงสามารถบอกได้ว่าทั้งสองธุรกิจนี้จะมีกลยุทธ์การตลาดที่ให้ความสำคัญกับช่องทางที่ต่างกัน เป็นต้น เรียกได้ว่า Data-Driven Marketing มีส่วนช่วยให้ทำการตลาดได้ตรงจุดมากขึ้นนั่นเองค่ะ
3. Data-Driven Marketing เพื่อนำมาใช้ออกแบบคอนเทนต์ และการขาย
การทำคอนเทนต์สิ่งที่จำเป็นต้องตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ซึ่ง Data-Driven Marketing จะทำให้เรารู้ว่าลูกค้ามีความต้องการแบบไหน ซึ่งเราสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้เป็นแนวทางในการเลือกหัวข้อ และ คีย์เวิร์ดได้นั่นเอง และนอกจากจะทำให้ตอบโจทย์ลูกค้าแล้ว การใช้ Data-Driven Marketing ยังสามารถทำให้เรารู้ได้ว่าควรเน้นไปที่คอนเทนต์หัวข้อไหนด้วย เพื่อให้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ซึ่ง Data-Driven Marketing จะทำให้เรารู้ว่าควรลงทุนไปกับอะไร จึงจะทำให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจของเราได้ในระยะยาว
ในด้านการขายก็เช่นกัน ยิ่งเรามีฐานข้อมูลของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเพื่อมาทำ Data-Driven Marketing มากเท่าไหร่ เราก็ย่อมรู้ว่า เรื่องใดที่กลุ่มเป้าหมายเหล่านี้จะสนใจ โทนเสียงแบบไหนที่จะเหมาะ ดังนั้นถ้าเราสื่อสารตรงกับสิ่งที่พวกเขาต้องการได้จริงๆ ยอดขายถล่มทลาย ก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอนค่ะ
ถ้าเราไม่มี DATA เราจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่า
จะเขียนคอนเทนต์เรื่องอะไร ลักษณะไหน ให้กลุ่มเป้าหมายอยากซื้อได้
4. Data-Driven Marketing เพื่อการสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคล
ลองนึกถึงสถานการณ์ที่เราเป็นลูกค้า เราคงจะรู้สึกดีมาก ๆ ถ้าได้เข้าไปในแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ หรือช่องทางใดๆก็ตามที่เข้าใจความต้องการของเรา และนำเสนอที่เหมาะสมหรืออยู่ในความสนใจกับเราโดยเฉพาะ ซึ่งการทำการตลาดแบบเฉพาะบุคคลนี้เรียกว่า “Personalized Marketing”
“Personalized Marketing” คือการทำการตลาดดิจิทัล ที่นำเสนอสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ให้ตรงจุดกับความต้อการของผู้บริโภคแต่ละคนมากที่สุด โดยไม่ต้องไปเสียเวลาในการเสนอสินค้าชนิดเดียวกันให้กับทุกคน แต่จะเน้นการเจาะจงไปที่กลุ่มหรือบุคคลที่เหมาะกับสินค้าหรือบริการของเรามากที่สุด ซึ่งกลยุทธ์แบบนี้ยังทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความสัมพันธ์ของแบรนด์ที่มีต่อลูกค้าอีกด้วย
ถ้าทำการตลาดแบบออฟไลน์ คงจะเป็นเรื่องง่ายกว่าที่จะทำการตลาดเฉพาะบุคคล เพราะเป็นสถานการณ์ที่เราสามารถสื่อสารกันต่อหน้า สามารถคาดเดาความรู้สึก บุคลิกภาพเวลาสนทนา เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการให้เหมาะกับคน ๆ ได้ แต่สำหรับการตลาดออนไลน์จะเป็นเรื่องยากทันที ถ้าเราไม่มีข้อมูลในระบบ ดังนั้น ฐานข้อมูลพฤติกรรมและการทำ Data-Driven Marketing จึงเป็นหัวใจสำคัญของการทำ “Personalized Marketing” และกำลังเป็นที่นิยมในการนำมาใช้ทำการตลาดออนไลน์ในยุคนี้มาก ๆ ค่ะ
ตัวอย่างการทำ Personalized Marketing ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้น Netflix ธุรกิจให้บริการสตรีมมิ่งวิดิโอออนไลน์ ที่ใช้การเก็บข้อมูล และ วิเคราะห์ ตามหลัก Data-Driven Marketing เพื่อนำเสนอภาพยนตร์ และซีรี่ย์ที่ตรงกับความต้องการ ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของรายการภาพยนตร์ แต่ยังรวมไปถึงรูปแบบหน้าปกที่แสดง ก็ใช้นำเสนอแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคลด้วย
ที่มา : medium.com
อีกหนึ่งตัวอย่างการทำ “Personalized Marketing” เป็นของเว็บไซต์ Amazon เกี่ยวกับการออกแบบ Landing Page ให้เหมาะกับแต่ละบุคคล หากสังเกตดูจะเห็นว่า เว็บไซต์มีการเก็บข้อมูลผู้ใช้ เพื่อนำมาทำ Data-Driven Marketing แล้วนำเสนอสินค้าในหมวดหมู่ที่สนใจไว้ในหน้าแรกของเว็บไซต์เลย Landing Page ในรูปจึงนำเสนอสินค้าเกี่ยวกับ IT หรือสินค้าสำหรับสายนักเล่นเกมส์ ซึ่งเป็นสินค้าที่เคยค้นหาในเว็บไซต์มาก่อนหน้านี้ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อ หรือซื้อเพิ่มค่ะ
ที่มา : pinterest.ch
5. Data-Driven Marketing เพื่อการกระตุ้นให้ซื้อซ้ำ หรือใช้บริการเว็บไซต์ของเราอีกครั้ง
หากคุณมีข้อมูลของลูกค้าเก่าที่เคยซื้อของจากเว็บไซต์ไป หรือมีข้อมูลของคนที่สนใจและกำลังตัดสินใจในการซื้อสินค้าบางอย่างแล้ว ทำไมคุณไม่ลองมองกลุ่มคนเหล่านี้อีกครั้ง ด้วยการทำ Data-Driven Marketing ล่ะคะ? ซึ่งการทำการตลาดให้คนที่เคยซื้อสินค้า หรือคนที่เคยเข้าเยี่ยมชม ค้นหาข้อมูลเพราะเกิดความสนใจ ได้กลับมาหาคุณอีกครั้งนี้ เรียกว่า Retargeting นั่นเองค่ะ
Retargeting เป็นส่วนสำคัญของการตลาดดิจิทัล และเป็นแคมเปญหนึ่งที่ต้องอาศัยข้อมูลในการทำ ยกตัวอย่างการทำ Retargeting เช่น บริษัทสกีสามารถส่งข้อเสนอให้กับลูกค้าที่เพิ่งซื้อสกีไป จูงใจให้กลุ่มลูกค้าเหล่านี้ซื้อสินค้าเกี่ยวกับสกีเพิ่มเติมได้อีก หรือสามารถขายสินค้าบริการอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องได้ อย่างคอร์สเรียนสกี ที่พักแรม ตั๋วเครื่องบิน เป็นต้น เรียกได้ว่าทำการตลาดให้ “ซื้อแล้ว ซื้ออีก” นั่นเองค่ะ
Retargeting ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
ของการใช้ DATA หรือข้อมูลที่มีอยู่ เพื่อทำการตลาดให้เกิดประโยชน์
6. Optimized Paid Search : นำมาใช้ในเรื่อง SEO & SEM
การทำ SEO และ SEM สิ่งสำคัญคือการเลือกคีย์เวิร์ดที่กลุ่มเป้าหมายสนใจ หรือเป็นที่นิยมในการใช้เพื่อค้นหา ซึ่ง Data-Driven Marketing สามารถเข้ามาช่วยให้เราทำงานด้าน SEO และ SEM ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลของคีย์เวิร์ดนั้น ๆ เพื่อดูว่ามันได้รับความนิยมหรือไม่ รวมทั้งการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้เป็นแนวทางในการชิงตำแหน่ง SEO เป็นต้น
นอกจากนั้น ข้อมูลเกี่ยวกับ “Keyword” นี้ สามารถนำมาใช้กับการเขียน Headline ของบทความ เนื้อหาของบทความได้อีกด้วย ยิ่งถ้าเรามีข้อมูล คือรู้ว่าคีย์เวิร์ดใดที่คนใช้ค้นหามากที่สุดและตรงกับสิ่งที่เราต้องการนำเสนอ แล้วนำมาใช้ในการเขียน ข้อมูลนี้ก็จะมีประโยชน์อย่างมากในการเพิ่มปริมาณการชมเว็บไซต์ (Traffic) ซึ่งนั่นหมายถึงโอกาสที่พวกเขาจะเข้ามาเห็นสินค้า และบริการของเรามากขึ้นด้วย โดยตัวอย่างเครื่องมือสำคัญที่ช่วยค้นหา Keyword ที่เราสามารถใช้ในการทำ Data-Driven Marketing ก็ได้แก่
Google Trend เป็นเครื่องมือที่ใช้ดูแนวโน้มการค้นหาของ Keyword นั้น ๆ ว่าถูกใช้ค้นหาบน Google บ้างหรือไม่ มีแนวโน้มเป็นอย่างไร ถ้ามีปริมาณการค้นหาที่มากขึ้นเรื่อย ๆ หรือเมื่อลองเทียบกับ Keyword อื่น ๆ แล้วมีปริมาณการค้นหามากกว่า เราก็สามารถใช้ Keyword นั้นกับการเขียนคอนเทนต์ของเราได้
Google Keyword Planner เป็นเครื่องมือในการค้นหา Keyword ที่ละเอียดขึ้นมาอีกขั้น ซึ่งเหมาะสำหรับการทำ Data-Driven Marketing โดยจะแสดงข้อมูลต่าง ๆ ดังนี –
- Search Terms คือ keywords ที่คุณค้นหา
- Monthly Searches คือ ค่าเฉลี่ยในการค้นหาต่อเดือน
- Competition คือ คู่แข่งที่ใช้ keywords เดียวกับคุณ
- Suggested Bid คือ ค่าใช้จ่ายของ keywords ต่อ 1 การคลิก
7. Data-Driven Marketing เพื่อการกำหนดเป้าหมายของแคมเปญในช่องทางอีเมล
เทคโนโลยีทางการตลาดสามารถช่วยคุณรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่จำเป็นในการสร้างกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน และด้วยฐานข้อมูลนี้เอง ทำให้คุณสามารถสร้างแคมเปญอีเมลที่มุ่งเน้นไปที่ความต้องการและความสนใจของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะได้ ตามหลักของการใช้ Data-Driven Marketing ซึ่งข้อมูลนี้ไม่เพียงแต่ช่วยในเรื่องการส่งอีเมลแบบอัตโนมัติได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนข้อความให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละรายและทุกคนที่คุณส่งไปได้
DATA จะช่วยให้เราสามารถจัดกลุ่มคน
และส่งข้อมูลที่เฉพาะกับกลุ่มนั้นๆแบบอัตโนมัติได้
ด้านล่างเป็นตัวอย่างพื้นฐานการใช้ Data-Driven Marketing เพื่อทำ Email Marketing จะสังเกตเห็นว่า มีการแบ่งลักษณะของเนื้อหาที่ส่งตามพฤติกรรมของสองกลุ่มที่ต่างกันในขั้นนั้น ๆ จะเห็นว่าในขั้นที่สาม ถูกแบ่งตามพฤติกรรมการคลิก ถ้าผู้ใช้งานอีเมลกดเปิดลิงก์ดังกล่าว อีเมลจะดำเนินการต่อตามแผนผังในด้านซ้ายคือเข้าสู่ขั้นตอนการโหลด แต่ถ้าผู้ใช้งานไม่กดลิงก์ อีเมลจะดำเนินการตามแผนผังด้านขวา คือรอตามระยะเวลาที่กำหนดก่อน แล้วค่อยส่งอีเมลอีกครั้ง ซึ่งการดำเนินการนี้ เป็นไปแบบอัตโนมัติ
ที่มา : blippr.com
และนี่คือภาพรวมแนวทางการนำข้อมูลในการทำ Data-Driven Marketing ที่นักการตลาด เจ้าของธุรกิจ มักนำไปใช้ประโยชน์กับการทำการตลาดออนไลน์ หวังว่าบทความนี้จะเป็นไอเดียให้กับใครที่กำลังมีข้อมูลอยู่ล้นมือ แต่ไม่รู้จะนำไปใช้ทำการตลาดอย่างไรดี ให้มีแนวทาง หรือมีจุดเริ่มต้นเล็กของการนำข้อมูลไปพัฒนาการตลาดให้ดีขึ้นต่อไปได้ค่ะ
📌ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจในการนำ Data-Driven Marketing มาใช้เพื่อพัฒนากลยุทธ์ในการทำคอนเทนต์ให้ตอบโจทย์ และ เป็นประโยชน์กับ Search Engine Optimization วันนี้เราก็มีหลักสูตรที่ชื่อว่า “Data-Driven Content Strategy” หลักสูตรที่จะสอนตั้งแต่ความเข้าใจ เครื่องมือที่น่าใช้ และการวิเคราะห์กับนำเสนอให้ได้อยากมีคุณภาพ รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก
ที่มา
allthatclicks
emarsys
swiftlocalsolutions.